เอเชียกลางเป็นดินแดนที่เคยรวมอยู่กับสหภาพโซเวียตที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์และใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม แม้ได้รับเอกราชการปกครองตนเองและหันมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมแล้วแต่ระบบเก่าที่ฝังรากลึกอยู่เกือบร้อยปีทำให้ความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคนี้เป็นไปอย่างล่าช้า
เอเชียกลางเป็นภูมิภาคที่เคยรวมอยู่กับดินแดนบางส่วนที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปเป็นประเทศสหภาพโซเวียตต่อมาดินแดนต่างๆของประเทศสหภาพโซเวียตทั้งในทวีปยุโรปและเอเชียกลางได้ประกาศแยกออกเป็นสาธารณรัฐอิสระเพื่อปกครองตนเองทำให้ประเทศสหภาพโซเวียตต้องล่มสลายลงใน
พ.ศ.2534 สาธารณรัฐในเอเชียกลางที่แยกตัวออกมาจากอดีตสหภาพโซเวียต มี 8 ประเทศ ได้แก่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซ เติร์กเมนิสถาน
ทาจิกิสถาน จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจาน มีขนาดพื้นที่รวมกันประมาณ 4.2 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 10 ของเนื้อที่ทวีปเอเชีย หรือร้อยละ 1 ของพื้นผิวโลกทั้งหมด
“เอเชียกลาง” ซึ่งเรามีความเข้าใจว่าเป็นอาณาบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศ 5
ประเทศ ที่แตกตัวออกมาจากอดีตสาธารณรัฐเอเชียกลางของสหภาพโซเวียตในอดีต
โดยข้อเท็จจริงแล้ว ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางกว่านี้มาก
คือส่วนที่มีชื่อว่าอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันตกซึ่งหมายถึง ดินแดนของ 5 ประเทศ
แล้วยังรวมดินแดนในส่วนที่เป็นอัฟกานิสถาน
เปอร์เชียและอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันออกหรือดินแดนส่วนที่เป็นมณฑลตะวันตกของจีนในปัจจุบันอีกด้วย
ดินแดน “ เอเชียกลาง ”
ในช่วงก่อนคริสตกาลนั้น
มีอารยธรรมเจริญรุ่งเรืองกว่าดินแดนในยุโรปในส่วนที่เป็นอังกฤษและฝรั่งเศสปัจจุบันเสียอีก
ผู้คนที่อยู่ในอาณาเตอร์กิสถานเป็นชนเผ่าเร่ร่อนชาวเติร์กและชาวตาตาร์ในปัจจุบันซึ่งชาวจีนในสมัยนั้นเรียกว่าชาวฮวนหรือพวกฮวน-นั้ง
ชาวฮวนคือพวกเร่ร่อนที่ไม่สร้างอาณาจักรเป็นหลักเป็นแหล่งสำหรับตนเอง
เพราะดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก
ทำให้ต้องดั้นด้นไปทุกหนทุกแห่งที่สามารถให้หญ้าและน้ำแก่ม้าและแกะซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจของตนได้
และเพราะการที่ไม่มีหลักแหล่ง ชาวจีนจึงเรียกพวกเร่ร่อนนี้ว่าคนป่า
หรือฮวน-นั้งนั่นเอง
พวกฮวนในสายตาของชาติที่อาระยะกว่าเช่นจีนเป็นชนชาติที่ไม่มีอารยธรรม
แต่อันที่จริงแล้ว พวกเร่ร่อนมิใช่ชนชาติที่ไม่มีอารยธรรม
แต่พวกเขามีอารยธรรมในแบบของตน เป็นพวกที่มีความชำนาญในการดำรงชีพเฉพาะตัว
แม้พวกเร่ร่อนไม่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง แต่จะสร้างเมืองในทุกหนทุกแห่งที่เร่ร่อนไป
เมืองที่สร้างทำหน้าที่เป็นสถานี
ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าและเป็นจุดกำเนิดของศิลปวิทยาการ
ชาวฮวนในเอเชียกลางเร่ร่อนไปทั่วโดยมีอาณาเขตจรดทะเลสาบแคสเปียนทางตะวันตก
ต่อสู้กับชนเผ่าตูเรเนียนและอิเรเนียนเพื่อขยายดินแดนลงไปจนจรดอาณาจักรเปอร์เซียทางทิศไต้
เข้าครอบครองที่ราบทุ่งหญ้าสเตปป์ในไซบีเรียและเข้ายึดครองมองโกเลียรวมทั้งขยายอิทธิพลเข้าไปทางตอนเหนือและตะวันตกของจีนอยู่เนืองๆ
จนจีนต้องสร้างกำแพงสกัดกั้นการขยายดินแดนของพวกฮวนเร่ร่อนนี้
ชาวเติร์ก
ชาวฮวนในเอเชียกลางมีรากเหง้ามาจากชาวซินเธียนส์
ซึ่งเป็นเชื้อชาติหนึ่งของสายอารยันและร่อนเร่ในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลจากที่ราบลุ่มแม่น้ำดานูบจนมาถึงที่ราบทุ่งหญ้าสเตปป์ในรัสเซียและเอเชียกลาง ต่อมาได้ผสมกับชาวฮวนหรือฮวน-นั้ง Yueh-Chi ที่ถูกขับมาจากดินแดนตอนเหนือของจีน(หรือมองโกเลียในปัจจุบัน)ในสมัยจักรพรรดิจี๋
ฮ่องเต้ ซึ่งอพยพมาเอเชียกลางตามเส้นทางของเทือกเขาคุนลุ้น
ส่วนหนึ่งเข้ามายึดครองอาณาจักรบัคเตรียซึ่งเป็นชาวฮวนที่เข้ามาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่สมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเข้ามายึดครองเอเชียกลางในช่วงศตวรรษที่
3 ก่อนคริสตกาล
ผู้คนในเอเชียกลางจึงมีบรรพบุรุษที่มีที่มาจากการผสมผสานระหว่างชาวซินเธียนส์จากยุโรปกับพวกฮวน-นั้งจากตะวันออกซึ่งต่อมาเราเรียกพวกนี้ว่าอินโด-ซินเธียนส์หรืออินโด-อารยัน
ในเวลาต่อมา
พวกฮวน-นั้งอีกส่วนหนึ่งตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณดินแดนทางตะวันตกของจีนซึ่งเรียกว่า
เตอร์กิสถานตะวันออกหรือดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลซินเกียงในปัจจุบัน
ต่อมาถูกจักรพรรดิ์ หวู้-ตี่(ปีค.ศ. 140- ค.ศ. 86 ก่อนคริสตกาล)
กวาดต้อนออกจากเตอร์กิสถานตะวันออกเพื่อเปิดทางให้ขบวนคาราวานของพ่อค้าชาวจีนสามารถขนสินค้าของตน
โดยเฉพาะ ผ้าไหม
เครื่องแล็กเกอร์และหยกไปขายยังอาร์เมเนียและกรุงโรมเพื่อแลกกับทองคำและเงินกลับจีน
เส้นทางคาราวานการค้าจากจีนไปยังอาร์เมเนียและกรุงโรมที่เริ่มในช่วงศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางการค้าที่เรียกว่าเส้นทางสายไหมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ดังได้กล่าวข้างต้นว่า พวกฮวนซึ่งเร่ร่อนอยู่ในเอเชียกลางมีที่มาจากการผสมผสานกับพวกฮวน-นั้งหรือมองโกล พวกฮวน-นั้งนี้เองที่ผสมผสานทางเชื้อชาติกับพวกเร่ร่อนและกึ่งเร่ร่อนชาวอารยันในบริเวณลุ่มแม่น้ำดานูบเป็นพวกพวกแมกยาร์ต้นกำเนิดของชาวฮังการีในปัจจุบัน และไม่เพียงแต่กระจายเชื้อชาติมองโกลในฮังการีแล้ว ยังถ่ายทอดอารยธรรมมองโกลให้ชุมชนเร่ร่อนในยุโรปอีกด้วย โดยเฉพาะศิลปะการขี่ม้า การใช้ม้าเป็นพาหนะและเครื่องมือแรงงานลักษณะต่างๆ ซึ่งพวกฮวนชาวมองโกลจากเอเชียกลางรู้จักมานับเป็นพันปีก่อนนี้แล้ว ยังมีพวกเร่ร่อนเชื้อชาติอลันส์ซึ่งอยู่บริเวณคอเคซัสและเป็นชาติกำเนิดของชาวอาร์เมเนียและจอร์เจียในปัจจุบัน และฮวนอีกพวกหนึ่งที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มของทะเลดำ เป็นต้นกำเนิดของชาวยูเครนในปัจจุบัน รวมทั้งพวกฟินส์หรือพวกอลันส์ทางเหนือของยุโรป ซึ่งสันนิษฐานว่าพวกเร่ร่อนอลันส์นี้ก็เป็นเชื้อชาติที่ผสมผสานระหว่างฮวน-นั้งกับพวกเร่ร่อนนอร์ดิกของยุโรป
ชาวมองโกล
🔅ยุโรปและรัสเซียในอุ้งมือของอาณาจักรมองโกล
ชาวเติร์กในเอเชียกลางในระยะก่อนการเข้ามาของกองทัพมองโกลในศตวรรษที่ 13 เป็นต้นไป ถูกปกครองภายใต้อาณาจักรคีวาซึ่งมีอาณาเขตปกคลุมภูมิภาคเอเชียกลางในปัจจุบัน รวมกับดินแดนในภูมิภาคเทือกเขาคอเคซัสตอนไต้ทั้งหมด อิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน ตอนเหนือของอินเดียจนถึงแม่น้ำคงคา เตอร์กิสถานตะวันออก(แคว้นซินเกียง)และที่ราบทุ่งหญ้าสเตปป์ตอนไต้ของรัสเซีย เอเชียกลางถูกล้อมรอบด้วยอาณาจักรของพวกมุสลิมอาณาจักรต่างๆ ได้แก่ อียิปต์ซึ่งรวมปาเลสไตน์และซีเรียอยู่ด้วย อาณาจักรเซลิยุกในตุรกีในปัจจุบัน อาหรับคาลิฟัตในอิรัก และจีนในยุคของราชวงศ์ถังที่เสื่อมโทรมหรือที่เรียกว่า “ยุค 10 อาณาจักร” ความเสื่อมโทรมของจีนในยุคราชวงศ์ถังนี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญที่เชื้อเชิญให้อาณาจักรของพวกฮวนในมองโกเลียซึ่งมีศูนย์กลางอยู่บริเวณทะเลสาบไบคาลกล้าทำสงครามด้วย เข้ายึดครองในเวลาต่อมาและขยายอาณาจักรต่อไปอีกทางทิศตะวันตกจนถึงลุ่มแม่น้ำดานูบในที่สุดโดยมีเอเชียกลางถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งด้วย
พวกฮวนในมองโกเลียหรือที่เรียกในเวลาต่อมาว่าชาวมองโกลในศตวรรษที่ 12 นั้น ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรคิน ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสระของชาวจีนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและอยู่ทางตอนบนของอาณาจักรซ่ง พวกเร่ร่อนที่ปราศจากทุ่งหญ้าคือปลาที่ขาดน้ำ และจึงเป็นความจำเป็นที่พวกเร่ร่อนชาวมองโกลต้องหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ทางดินแดนทางไต้ซึ่งหิมะละลายเร็วกว่านั้น ทำให้ชาวมองโกลต้องทำการสู้รบกับชาวจีนที่ปกครองภายใต้อาณาจักรคินอยู่เนืองๆ การสู้รบกับชาวจีนซึ่งเป็นชาติที่มีอารยะธรรมเจริญกว่าชาติใดในโลก ทำให้พวกเร่ร่อนชาวมองโกลได้เรียนรู้ศิลปะการสู้รบและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆของชาวจีนอาทิ การใช้ดินปืน การใช้พลุให้สัญญาณ และการใช้เข็มทิศนำมาประยุกต์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำสงคราม และเมื่อนำมาผสมผสานกับความชำนาญในการใช้ม้าเป็นพาหนะซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชาวมองโกลแล้ว กองทัพชาวมองโกลก็พร้อมที่จะเข้าโจมตีและยึดครองดินแดนที่ใดก็ได้ในโลก ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าสิ่งประดิษฐ์ของคนจีนต่างๆข้างต้นที่กองทัพมองโกลนำมาใช้ในการทำสงคราม โดยเฉพาะ การใช้ดินปืนนั้น ยังไม่มีฝรั่งตะวันตกชาติใหนในช่วงศตวรรษที่ 12 รู้จักมาก่อนจนกระทั่งได้เห็นกับตาของตนเองเมื่อกองทัพมองโกลได้ใช้มันเข้าโจมตีบ้านเมืองของตนแล้วเท่านั้น
พวกเร่ร่อนชาวมองโกลในสมัยเจงกีสข่านปรารถนาที่จะได้ทุ่งหญ้าสเตปป์ตลอดแนวจากตอนไต้ของไซบีเรียไปจนถึงลุ่มแม่น้ำดานูบที่อุดมสมบูรณ์กว่าและมีฤดูร้อนที่ยาวกว่าเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของตน เจงกีสข่านจึงบุกไปตะวันตกหลอมรวมกองทัพของตนเข้ากับพวกเร่ร่อนชาวตาตาร์ทางตอนใต้ของไซบีเรียและตาตาร์ในเตอร์กิสถานตะวันออก เป็นกองทัพเดียวกัน พร้อมกันนั้น ก็ได้ยกกำลังเข้าตีอาณาจักรคินและยึดปักกิ่งได้สำเร็จในปีค.ศ. 1214
เจงกีสข่าน
เจงกีส ข่านเสียชีวิตในปีค.ศ. 1227 อาณาจักรมองโกลถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนให้แก่ลูกและหลานของเจงกีส ข่านปกครอง โดยประเพณีแล้ว ลูกคนที่โตที่สุด จะได้รับอำนาจให้ปกครองส่วนของอาณาจักรส่วนที่ไกลที่สุด ดอร์จิ(Dorchi) ลูกชายคนโตจึงปกครองส่วนของอาณาจักรมองโกลด้านยุโรปทั้งหมดจนมาถึงรัสเซีย ยูเครนและตอนเหนือของคาซัคสถานในปัจจุบัน กองทัพมองโกลของของโจจิส่วนที่ตั้งหลักแหล่งในฮังการี ได้สังหารชาวแมกยาร์ซึ่งเป็นพวกฮวนเร่ร่อนบรรพบุรุษของตนเมื่อหนึ่งพันปีก่อนและบางส่วนที่ตั้งหลักแหล่งบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำดนีเปอร์ในยูเครน ผสมผสานกับคนพื้นเมืองทำให้ฝรั่งชาวยูเครนมีหน้าตาละม้ายไปทางเอเชียในเวลาต่อมา เป็นเหตุผลที่อธิบายในเวลาต่อมาว่าชาวยูเครนคือชาวซินเธียนส์ผสมมองโกลหรือที่เราเรียกกันติดปากว่ายูเครนคือชาวสลาฟหน้าจีน อาณาจักรของชาวมองโกลส่วนนี้ที่ต่อมาเรียกว่า Golden Horde ชางคาไต(Changkatai) ลูกชายคนที่ 2 ของเจงกีสข่าน ปกครองในส่วนที่เป็นเอเชียกลางทั้งหมด และรวมไปถึงอัฟกานิสถานและดินแดนทางตะวันตกสุดของจีนในปัจจุบัน อ๊อกได ข่าน ลุกชายคนสุดท้องปกครองในส่วนที่เป็นอาณาจักรมองโกลชั้นในสุด หากมิใช่เพราะอ๊อกได ข่านเสียชีวิตในปีถัดมา(ค.ศ. 1242) แล้ว ชาวมองโกลก็คงไม่ยกทัพกลับไปยังเมืองคาราโครัมถิ่นกำเนิดของตนอย่างแน่นอนซึ่งถือเป็นความโชคดีของชาวยุโรปที่เหลือทั้งหมด แต่กลับเป็นเคราะห์กรรมของชาวจีนและเอเชียที่เหลือ เมื่อมังกู ข่าน กษัตริย์มองโกลซึ่งสืบเชื้อสายจากเจงกีส ข่าน ขึ้นปกครองมองโกเลียและแต่งตั้งกุบไล ข่านน้องชายให้เป็นผู้สำเร็จราชการในจีนในปีค.ศ. 1251 กุบไล ข่านเป็นกษัตริย์ปกครองมองโกลและจีนอย่างสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1260 พร้อมกับการตั้งราชวงศ์หยวน ของชาวมองโกลปกครองจีนและย้ายเมืองหลวงจากคาราโครัมมาอยู่ที่กรุงปักกิ่ง อาณาจักรมองโกลที่มีศูนย์กลางที่ปักกิ่งมีอาณาจักรของตนไกลสุดตั้งแต่ฮังการี ครอบคลุมรัสเซีย(ยูเครน) และเอเชียกลาง เอเชียเกือบทั้งทวีป จนจรดมหาสมุทรแปซิฟิก รุ่งเรืองสุดขีดจนถึงปีค.ศ. 1268 ประกอบด้วยประเทศราชของมองโกลในซีเรีย อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของชาวมองโกล-ตาตาร์ในรัสเซียและในเตอร์กิสถาน(เอเชียกลาง) ยกเว้นก็เพียงแต่ ความพ่ายแพ้ของกองทัพมองโกลต่อกองทัพสุลต่านของอิยิปต์ซึ่งหยุดยั้งความทะเยอทยานของชาวมองโกลที่จะบุกตลุยเข้าไปปกครองในทวีปแอฟริกาในปีค.ศ. 1260 และการที่กองทัพมองโกลเข้าตีแคว้นปันจาบของอินเดียไม่ได้ รวมทั้งความไม่สามารถบุกไปตีเกาะญี่ปุ่นได้ แม้มีความพยายามถึง 2 ครั้ง ชี้ถึงการเสื่อมสลายของอาณาจักรมองโกลที่ยิ่งใหญ่ตลอด 2 ศตวรรษที่ผ่านมา ราชวงศ์หยวนถูกโค่นล้มโดยชาวจีนชาตินิยมในปีค.ศ. 1368 พร้อมกับการตั้งราชวงศ์หมิงขึ้นปกครองจีนจนถึงปีค.ศ. 1644 ซึ่งต่อมาถูกชาวแมนจูซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกฮวน-นั้งและชาวมองโกลเชื้อสายเดียวกับเจงกีส ข่านก็เข้ามาโค่นล้มการปกครองของราชวงศ์หมิงและสถาปนาการปกครองของราชวงศ์แมนจูในจีนจนถึงปีค.ศ. 1911 เมื่อจีนประสบการปฏิวัติกระฎุมพีที่นำโดยปัญญาชนชาตินิยมดร.ซุน ยัต เซ็น
ข้อสังเกตในเวลาต่อมาว่ากองทัพมองโกลจะต้องรู้จักการทำแผนยุทธศาสตร์การสู้รบแล้ว ถึงสามารถบัญชาการรบในสมรภูมิที่กว้างใหญ่ไพศาลจากแม่น้ำวิสตูลาถึงทรานซิลวาเนียได้อย่างมีเอกภาพซึ่งฝรั่งในยุโรปกว่าจะรู้จักการทำแผนรบระดับยุทธศาสตร์ก็ในสมัยจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ตหรืออีก 6 ศตวรรษต่อมา และเป็นเหตุผลอธิบายว่า ทำไมกองทัพมองโกลจึงไม่บุกยุโรปต่อไปจนถึงฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ก็เพราะจากไซลีเซียต่อไปนั้นคือเขตเทือกเขาและป่าทึบซึ่งเป็นสมรภูมิที่ชาวมองโกลไม่ชำนาญการรบนั่นเอง
🔅นักรบเร่ร่อนคอซแซคส์ : ประกายไฟไหม้ลามทุ่ง
ในรัสเซียและในเตอร์กิสถาน ซึ่งถูกผนวกเข้าอยู่ในระบบการปกครองของอาณาจักรมองโกลด้วยนั้น เป็นอาณาจักรคิปแช็ค(Kipchak) ซึ่งเป็นระบบการปกครองของชาวมองโกล-ตาตาร์ที่เจงกีส ข่านยกให้ดอร์จิ ลูกชายคนโตของเจงกีส ข่านปกครอง เมืองศูนย์กลางของอาณาจักรคิปแช็คอยู่ที่เมืองคาซาน (Kazan) กษัตริย์ของอาณาจักรคิปแช็คเป็นข่านซึ่งเรียกว่าข่านแห่ง Golden Horde รับส่วยและเครื่องบรรณาการจากบรรดาเจ้าผู้ครองนครรัฐหรืออุปราชตาตาร์(Tatar) ในมอสโก เคียฟ(Kiev) นอฟกอร็อด(Novgorod) และอาสตราคานด์(Astrakhand) ที่ถวายให้ในฐานะประเทศราชที่อยู่ไต้อำนาจการปกครอง อาณาจักรคิปแช็กเสื่อมสลายช้ากว่าการเสื่อมสลายของอาณาจักรมองโกลที่ปักกิ่ง คือหลังจากที่ราชวงศ์หยวนถูกโค่นล้มลงไปแล้วเกือบหนึ่งศตวรรษ ปัจจัยสำคัญที่แสดงบทบาททำลายความแข็งแกร่งของอาณาจักรคิปแช็ก มิใช่อยู่ที่การลุกขึ้นต่อต้านของชาวรัสเซีย หากอยู่ที่การต้องทำสงครามกับพวกเร่ร่อนพวกหนึ่งที่มีหลักแหล่งอยู่บริเวณตะวันออกของยูเครนและทางไต้ของรัสเซีย พวกเร่ร่อนพวกนี้เป็นชาวยูเครนและสืบเชื้อสายมาจากประชากรที่ผสมผสานระหว่างสลาฟกับมองโกล พวกเร่ร่อนพวกนี้เป็นชาวคริสต์ บูชาเสรีภาพและรักการผจญภัย มีความสามารถในการใช้ม้าทำการสู้รบไม่แพ้บรรพชนของตนซึ่งเป็นชาวมองโกลเมื่อหนึ่งพันปีก่อน และด้วยความรักในเสรีภาพ พวกเร่ร่อนชาวคริสต์พวกนี้จึงเป็นกลุ่มแรกที่ปฏิเสธการถวายเครื่องราชบรรณาการและส่วยให้แก่ข่านของอาณาจักรคิปแช็ก และดังนั้นจึงทำสงครามต่อต้านระบบการปกครองมองโกล-ตาตาร์ของอาณาจักรคิปแช็กตลอดเวลาเกือบหนึ่งร้อยปีในช่วงศตวรรษที่ 14 และ 15 อาณาจักรคิปแช็กอ่อนกำลังลงเพราะสาเหตุนี้ พวกเร่ร่อนชาวคริสต์ที่เป็นสาเหตุการเสื่อมสลายของระบบปกครองมองโกล-ตาตาร์นี้ เรารู้จักกันดีในนามว่าพวกทหารคอซแซ็คส์(Cossacks)
"Cossacks writing letter to Turkish Sultan" (1880-1891) Iliya Repin
ทหารคอซแซ็คส์
🔅มองโกลกับราชวงศ์โมกุล(Mogul)ในอินเดีย
ในเตอร์กิสถาน การล่มสลายของอาณาจักรคิปแช็คมาพร้อมกับการปรากฏตัวของอามีร์ ติมูร์(Amir Timur) หรือติมูร์เลน ผู้นำพวกเร่ร่อนในเอเชียกลางดินแดนในส่วนที่เป็นของอุซเบกิสถานในปัจจุบัน ติมูร์เป็นพวกเร่ร่อนชาวเติร์กและด้วยถือตนว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเจงกิส ข่าน ทางสายของฝ่ายแม่ ติมูร์หวังที่จะฟื้นฟูอำนาจของอาณาจักรมองโกลให้กลับรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำพวกเร่ร่อนจากเมืองซามาร์คานด์ (Zamarkhand) ใช้กำลังเข้าล้มระบบการปกครองของอาณาจักรคิปแช็คที่อ่อนแอ เหมือนที่อิวานที่ 3 ได้ทำมาแล้วในรัสเซีย และขยายอำนาจของตนไปทั่วอาณาจักรเตอร์กิสถาน ไปยังไซบีเรีย ใช้ความเหี้ยมโหดเข้ายึดอินเดียจนถึงแคว้นปันจาบซึ่งเป็นดินแดนที่บรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าของเขาไม่เคยทำสำเร็จมาก่อน เข้ายึดซีเรียและทำให้อียิปต์เป็นเมืองขึ้น ก่อนที่ติมูร์เลนจะขยายอาณาจักรไปกว้างกว่านี้ โดยเฉพาะการเข้าไปปกครองอินเดีย ติมูร์เลนได้เสียชีวิตลงเสียก่อนในปีค.ศ. 1405
อามีร์ ติมูร์
ซามาร์คานด์ในสมัยของติมูร์เลนยิ่งใหญ่ไม่แพ้ไคโรและโรมทางด้านการทหาร และไม่แพ้กรุงคอนสแตนติโนเปิลและกรุงปักกิ่งในด้านวิทยาการในสมัยของอูลูกเบ็ก(Ulughbek) หลานของติมูร์และปัญญาชนที่ปกครองซามาร์คานด์ระหว่างปีค.ศ. 1409-1449 ซามาร์คานด์กลายเป็นศูนย์กลางวิทยาศาสตร์ของโลกในสมัยกลาง เป็นแหล่งชุมนุมของนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชั้นนำของโลก อุซเบกิสถานจึงได้ชื่อในเวลาต่อมาว่าเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์ Sectant ซึ่งเป็นเครื่องมือทางดาราศาสตร์ในการคำนวณการเดินทางของดวงดาวและเป็นฐานคิดให้โคเปอร์นิคัสในการวางรากฐานวิชาดาราศาสตร์
Sectant
เอเชียกลางคือแหล่งอารยธรรมของโลกแม้ก่อนหน้าที่อูลุกเบ็กจะขึ้นมาปกครอง ใครจะทราบบ้างว่าวิชาอัลจีบร้า (Algebra) ที่เป็นแขนงหนึ่งของคณิตศาสตร์สมัยใหม่ คิดค้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาว ซามานิด(Samanid) ในเอเชียกลางช่วงศตวรรษที่ 9 ชื่ออัล-เจเบอร์(Al-jebr) คำว่า Algebra แผลงมาจากชื่อ Al-jebr ไม่เพียงแต่เท่านั้น วิชาเลขแขนงหนึ่งที่เรารู้จักกันว่าอัลกอริธึ่ม(Algorithm) คิดค้นโดยนักคณิตศาสตร์เอเชียกลางชื่อ อัล-โคริซึม(Al-Khorezmi) ซึ่งมีชีวิตระหว่างปีค.ศ. 787-850 คำว่า Algorithm แผลงมาจากชื่อ Al-Khorezm
อัล-โคริซึม
ในปีค.ศ. 1505 บาเบอร์ (Baber) ผู้นำเผ่าเร่ร่อนชาวเติร์กและผู้สืบเชื้อสายมาจากอามีร์ ติมูร์ ซึ่งก็คือผู้สืบเชื้อสายมาจากเจงกีส ข่าน รวบรวมไพร่พลข้ามเทือกเขาฮินดูกูช (Hindu Kush) เข้ายึดอัฟกานิสถานได้สำเร็จและตั้งตนเป็นผู้ปกครองอัฟกานิสถานและนำกำลังพลผ่านช่องเขาไคเบอร์เข้าตีแคว้นปันจาบ(Punjab) ของอินเดีย จุดหมายแรกในการยึดครองอินเดียหลังจากที่บรรพชนของตน (อามีร์ ติมูร์)ได้ทำมาแล้วเมื่อศตวรรษก่อน บาเบอร์เข้ายึดนครเดลีสำเร็จในปี ค.ศ. 1525 และตั้งตนเป็นจักรพรรดิ์แห่งฮินดูสถาน (Hindustan)มีอาณาจักรจนไปสุดดินแดนเบงกอล (Bengal) ภายหลังการเสียชีวิตของบาเบอร์ในปีค.ศ. 1530 อินเดียถูกปกครองโดยลูกหลานของบาเบอร์(ค.ศ. 1526-2530) ที่สืบทอดอำนาจจากพ่อถึงลูกต่อไปอีก 5 รัชสมัย ฮูมายุน (Humayun ค.ศ. 1530-1556) อัคบาร์ (Akbar ค.ศ.1556-1605) เจฮังกีร์ (Jehungir ค.ศ. 1605-1628) ชาห์ เจฮาน (Shah Jehan ค.ศ. 1628-1658) และโอรุงเซบ(Aurungzeb ค.ศ. 1658-1707) โดยเฉพาะ ในรัชสมัยของ อัคบาร์ กษัตริย์รุ่นที่ 3 และหลานของบาเบอร์ สร้างความเจริญให้อินเดียอย่างสูงสุด ทัช มาฮาลคือยอดปิรามิดของอารยธรรมอุซเบ็กในอินเดีย นอกจากพระเจ้าอโศก มหาราชแล้ว อัคบาร์คือมหาราชของอินเดียอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับยกย่องสูงสุดให้เป็นรัฐบุรุษของอินเดีย กษัตริย์ 6 รัชสมัยที่ปกครองอินเดียเป็นเวลาถึง 114 ปีนั้นคือกษัตริย์ภายใต้ราชวงศ์โมกุล อันยิ่งใหญ่ซึ่งผลักดันให้ภารกิจการฟื้นฟูอาณาจักรมองโกลในอินเดียสำเร็จลงได้ตามอุดมการณ์และความฝันของอามีร์ ตีมูร์โดยสมบูรณ์แบบ
อัคบาร์
พระเจ้าอิวาน
🔅เมื่อผู้รุกรานถูกรุกราน
รัสเซียสามารถยึดครองดินแดนไซบีเรียและภาคตะวันออกไกลที่ละส่วนจนรัสเซียมีอาณาจักรจรดมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1850 เป็นต้นมา ในเวลาเดียวกับที่พระเจ้าอิวานขยายอาณาจักรรัสเซียไปตะวันออกนั้น จีนในสมัยราชวงศ์แมนจูได้เริ่มต้นขยายอาณาจักรของตนแผ่คลุมเอเชียในทุกทิศทุกทาง อาณาจักรแมนจูบุกเข้ายึดครองอำนาจรัฐของชาวเติร์กในอาณาจักรเตอร์กิสถานตะวันออกผนวกเข้ามาในดินแดนที่เป็นแคว้นซินเกียงในปัจจุบันและขึ้นเหนือเพื่อรวบแมนจูเรียและมองโกเลียเข้าในอาณาจักร และดังนั้น รัสเซียและจีนผู้เคยถูกรุกรานในอดีตจึงเปลี่ยนมาเป็นผู้รุกราน ส่วนมองโกเลียผู้รุกรานกลับกลายเป็นผู้ถูกรุกราน
พร้อมไปกับการรุกไปตะวันออกเข้าไซบีเรีย จักรวรรดิ์รัสเซียบุกลงไต้เข้าเอเชียกลาง รัสเซียมองการรุกเข้าไซบีเรียและตะวันออกไกลของตนเป็นการแสวงหาดินแดนใหม่ ในขณะที่การรุกเข้าเอเชียกลางนั้นคือนโยบายการแสวงหาเมืองขึ้นของจักรวรรดินิยมในลักษณะเดียวกับที่อังกฤษบุกเข้าอินเดียและฝรั่งเศสบุกเข้าจีนและอินโดจีน การบุกเข้าเอเชียกลางไม่เพียงแต่เพื่อการแสวงหาวัตถุดิบ โดยเฉพาะ ฝ้าย จากเอเชียกลางเท่านั้น หากยังเป็นการสร้างดินแดนกันชนสกัดกั้นการบุกขึ้นเหนือของอังกฤษจากอินเดียด้วย รัสเซียส่งคอซแซคส์เข้ามาจับจองดินแดน ทำไร่เลี้ยงสัตว์และขณะเดียวกันก็เป็นสถานีทางทหารเพื่อป้องปรามความพยายามของอังกฤษที่จะรุกเข้ามา ราวปีค.ศ. 1848 ในเวลาเดียวกันกับที่กองทัพของอังกฤษรุกเข้าสู่ตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ รวบดินแดนทั้งหมดทางภาคตะวันตกตั้งแต่เท็กซัสจนไปจรดมหาสมุทรแปซิฟิกที่แคลิฟอร์เนียนั้น กองทัพคอซแซคส์พร้อมกับนายทหารและกองทัพของรัสเซียจากกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กก็รุกเข้าเอเชียกลางจากทุ่งหญ้าสเตปป์ของพวกเร่ร่อนในคาซัคสถานจนไปจรดทะเลสาบแคสเปียน กองทัพของชาวอังกฤษทำสงครามแย่งดินแดนกับชาวพื้นเมืองอินเดียแดงอย่างโหดเหี้ยมอย่างไร กองทัพรัสเซียก็ทำสงครามรุกรานกับกองทัพของข่านแห่งบุคาราและคีวาอย่างโหดเหี้ยมอย่างไรอย่างนั้น การรบที่ Teke-Turkmen ซึ่งทั้งผู้รุกรานและผู้ต่อต้านต้องหลั่งเลือดโชลมดินมากที่สุดในปีค.ศ. 1879 นำไปสู่การเข้ายึด Geok-Tepe ที่มั่นตะวันตกสุดของดินแดนเอเชียกลางและเปิดทางให้จักรวรรดิรัสเซียขยายลงใต้จนไกลสุดถึงนคร Merv ในปีค.ศ. 1884 และโอเอซิสปันเดทางบริเวณชายแดนของอัฟกานิสถานและถือเป็นจุดใต้สุดของจักรวรรดิรัสเซีย บรรดาเหล่านายทหารของรัสเซียเมื่อคะนองอยู่กับการรุกอย่างไม่รู้วันรู้เดือนนั้น จะรู้บ้างใหมว่า ครั้นเมื่อหันกลับไปมองกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กบ้านที่พวกตนจากมา พวกเขากำลังยืนอยู่บนจุดไกลสุดของอาณานิคมเอเชียกลางของตนที่มีพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศสหรัฐอเมริกา
การรุกเข้านครเมิร์ฟของรัสเซียคือสัญญาณเตือนจักรวรรดิอังกฤษว่ารัสเซียพร้อมที่จะบุกเข้าอินเดียเพราะเมิร์ฟคือทางแยกที่จะเข้าสู่เฮราต(Herat) ซึ่งเป็นประตูเข้าอัฟกานิสถานและทอดยาวไปสู่เปชาวาร์(Peshawar) ซึ่งก็คือปากประตูอินเดียของอังกฤษ รัสเซียเข้าสู่สงครามเย็นกับสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกในลักษณะอย่างไร รัสเซียก็ทำสงครามเย็นกับอังกฤษในสมัยที่เรียกว่า “the Great Game” อย่างไรอย่างนั้น ความแตกต่างอยู่ที่แต่ละฝ่ายยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้คอยข่มขู่คู่ต่อสู้เท่านั้น Great Game จบลงด้วยการลงนามความตกลงเขตแดนระหว่างอังกฤษกับรัสเซียปีค.ศ. 1895 (Anglo-Russian Boundary Agreement) ซึ่งอังกฤษยินยอมให้ดินแดนบริเวณเทือกเขาปามีร์(Pamir) ตกเป็นของรัสเซียทั้งหมดพร้อมกับการตั้งเขตกันชนระหว่างกันขึ้นที่วาคาน(Wakhan Corridor)ในอัฟกานิสถาน ทั้งนี้เพื่อที่อังกฤษจะสบายใจว่ารัสเซียจะไม่เขยิบเข้าไปตามเส้นทางของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชที่มีจุดหมายปลายทางที่อินเดียมากไปกว่านี้
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ลัทธิจักรวรรดินิยมคือการแสวงหาดินแดนและเมืองขึ้น ทรัพยากรและทาส แต่มีเบื้องหลังอยู่ที่เหตุผลทางเศรษฐกิจเสมอ ความต้องการเข้าครอบครองเอเชียกลางของจักรวรรดิรัสเซียอาจไม่เริ่มต้นเร็วกว่านี้ หากในสหรัฐอเมริกา ไม่เกิดสงครามกลางเมือง(US Civil War)ในปีค.ศ. 1861 เสียก่อน ผลของการปะทุของสงครามคือชาวไร่อเมริกันฝ่ายใต้ ต้องวุ่นวายกับการทำสงครามประหัตประหารกับนักอุตสาหกรรมฝ่ายเหนือจนไม่สามารถส่งฝ้ายเข้ายุโรปได้ รัสเซียเป็นประเทศที่พึ่งฝ้ายจากอเมริกามากกว่าที่อังกฤษพึ่งอินเดียเสียอีก อุตสาหกรรมผลิตผ้าในรัสเซียอาจล้มละลายได้ หากรัสเซียไม่ผลิตฝ้ายได้เอง และดินแดนที่มีดินอุดมสมบูรณ์และภูมิอากาศร้อนพอที่จะปลูกฝ้ายได้เหมือนอย่างหลุยเซียน่าหรือจอร์เจียคือเอเชียกลางเท่านั้น รัฐบาลรัสเซียจึงส่งไพร่ไร้ที่ดินที่มีอย่างดื่นดาษในรัสเซียให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและรกรากในเอเชียกลางเพื่อปลูกฝ้ายเป็นอันดับแรก และเมื่อรัสเซียค้นพบว่าเอเชียกลางมีค่ามากกว่าปลูกฝ้าย เพราะมีประชากรมากพอที่จะทำให้เป็นตลาดสำรองของสินค้ารัสเซียได้ พวกนักอุตสาหรรมที่กำลังล้มละลายในรัสเซียเพราะสินค้าของตนเข้าตลาดยุโรปไม่ได้นั้น จึงเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในเอเชียกลาง พวกเขานำวิถีชีวิตแบบชาวยุโรปมาใช้ในเอเชีย แรกสุดคือผังเมือง ถนนและบ้าน โรงละครและสถานบันเทิงเริงรมย์ซึ่งเป็นความเจริญทางวัตถุที่เข้ามาท้าทายปรัชญาและวิถีชีวิตของคนเอเชียกลาง ชาวเผ่าเร่ร่อนที่มีชีวิตอยู่กับม้า ได้เห็นม้าเหล็กเป็นครั้งแรกพร้อมกับเส้นทางรถไฟสายทรานส์แคสเปียน (Trans-Caspian Railway) ซึ่งเข้ามาถึงซามาร์คานด์ของติมูร์ในปีค.ศ. 1888 และทาชเคนท์ในปีค.ศ. 1905 แม้ชาวรัสเซียกำลังจะรุกรานทางวัฒนธรรมด้วยการนำวิถีชีวิตแบบตะวันตกเข้ามาแต่เอเชียกลางก็กว้างใหญ่ไพศาลเกินกว่าที่คนพื้นเมืองจะรู้สึกถึงวิถีชีวิตของตนกำลังถูกทำลายได้ และชาวรัสเซียก็ฉลาดพอที่จะไม่สร้างบ้านของตนในที่ที่ชนพื้นเมืองปลูกกระโจม และยินยอมให้มูลเลาะห์ทำกิจกรรมของตนในสุเหร่าและมัสยิดได้ต่อไปโดยไม่เข้าไปแตะต้อง
Trans-Caspian Railway
แต่ลัทธิล่าอาณานิคมมาพร้อมกับอุดมการณ์รัฐ-ชาติ ไม่ว่านักล่าอาณานิคมจะสำนึกหรือไม่ก็ตาม นักล่าอาณานิคมไม่ว่า จะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือพวกดัชต์ และรัสเซียก็ไม่เว้นต้องสร้างชนชั้นปัญญาชนจากชาวพื้นเมืองขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเขากับคนพื้นเมือง และเป็นผู้นำภาษารัสเซีย วัฒนธรรมสลาฟของคนรัสเซีย วิถีการผลิตแบบตะวันตก และวิธีคิดแบบชาวตะวันตกไปเผยแพร่ ซึ่งในที่สุด นำไปสู่ความคิดและความใฝ่ฝันในเรื่องการรวมเผ่าพันธุ์ที่กระจัดกระจายบนกองฝุ่นและความยากจนให้ขึ้นมาเป็นชาติในแบบที่ชาวสลาฟรัสเซียมี ปัญญาชนชาวคาซัคอย่าง Shoqan Ualikhanov คือวีรชนของขาวคาซัคที่ลุกขึ้นมาปลุกจิตสำนึกชาวคาซัคในเรื่องนี้ พร้อมๆกับปัญญาชน Jadidist ของอุซเบ็กที่ก่อกระแสชาติเติร์กขึ้นมาในอุซเบกิสถาน
การลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดินิยมรัสเซียปะทุขึ้นแรกที่เมืองแอนดิจาน ในอุซเบกิสถานในปีค.ศ. 1897 ซึ่งจบลงในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากการต่อต้านยังไม่เป็นขบวนและเฉพาะจุด จวบจนเมื่อรัสเซียประกาศสงครามกับเยอรมนีและเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ รัฐบาลรัสเซียกวาดต้อนวัวและม้าจากเอเชียกลางเป็นเสบียงอาหารสำหรับกองทัพ กวาดต้อนชาวนาทั่วประเทศและชาวพื้นเมืองในเอเชียกลาง โดยเฉพาะ ชาวคาซัคและชาวคีร์กิ๊ซเป็นไพร่พลหลักในสนามรบในยุโรป ซึ่งในที่สุดนำไปสู่การลุกขึ้นต่อต้านรัสเซียของชนพื้นเมืองเอเชียกลางทั่วทั้งภูมิภาค ผลของการลุกขึ้นต่อต้านนำไปสู่การสังหารชนพื้นเมืองชาวคาซัคและชาวคีร์กิ๊ซแบบยกหมู่บ้าน
สงครามโลกครั้งที่ 1
การปฏิวัติประชาธิปไตยในรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ. 1917 เพื่อล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชและการปฏิวัติสังคมนิยมในรัสเซียในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันซึ่งนำรัฐบาลกรรมกรและชาวนาขึ้นมาปกครองจักรวรรดิรัสเซียต่อจากพระเจ้าซาร์นั้น มิใด้เปลี่ยนทัศนคติและนโยบายของชาวยุโรปที่มีต่อเอเชียกลางแต่อย่างใด เอเชียกลางเปลี่ยนการปกครองจากระบอบอิมิเรตของข่าน เป็นระบบสาธารณรัฐที่จัดตั้งขึ้นมาตามลักษณะทางเชื้อชาติ แต่มิใช่รัฐที่เป็นเอกราช หากเป็นสาธารณรัฐที่อยู่ภายใต้ระบบสหพันธ์ของรัสเซียซึ่งเรียกกันว่าระบบโซเวียต และอยู่ใน periphery ที่มีศูนย์กลางของอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่ที่มอสโก มีการจัดตั้งสาธารณรัฐของชาวคาซัค ของชาวคีร์กิ๊ซ ของชาวเติร์กเมน ของชาวอุซเบ็ก และของชาวทาจิกขึ้น ในช่วงปีค.ศ. 1920-1924 เอเชียกลางมิใช่อาณานิคมของจักรวรรดิรัสเซียเช่นในอดีต แต่พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของเอเชียกลางยุคใหม่เคลื่อนตัวพร้อมไปกับพัฒนาการทางการเมืองของรัสเซียอย่างเป็นระบบเดียวกัน สาธารณรัฐในเอเชียกลางทั้ง 5 เข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบการแบ่งงานกันทำทางเศรษฐกิจผ่านการแปรสภาพทางเกษตรกรรมให้เป็นนารัฐและนารวมแบบคอมมูน ที่เรียกกันว่า Collectivisation ในปีค.ศ. 1927 และผ่านการแปรสภาพการผลิตให้เป็นอุตสาหกรรมที่เรียกกันว่า Industrialization ในปีค.ศ. 1932-1936 ตามนโยบายของนาย Joseph Stalin ผู้นำรัฐสังคมนิยมโซเวียตเพื่อทำให้จักรวรรดิรัสเซียทั้งระบบเป็นสังคมนิยมประเทศแรกในปีค.ศ. 1936 และเตรียมความพร้อมของสหภาพโซเวียตในการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ. 1939-1945 ซึ่งรัฐในเอเชียกลางต้องถูกดึงเข้าสู่ศูนย์กลาง มีบทบาทเป็นแนวหลังในการรับใช้และสนับสนุนนโยบายการสร้างสังคมนิยมและการเข้าสู่สงครามของรัสเซียข้างต้น
Collectivisation
แม้คนพื้นเมืองในเอเชียกลางจะทนทุกข์ทรมานกับการปรับตัวอย่างขนานใหญ่ของพวกเขาภายใต้ระบบสังคมนิยมโซวียต แต่วิถีชีวิตในแบบพวกเร่ร่อนของพวกเขาที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกมานานนับศตวรรษซึ่งสั่งสมอยู่กับวิถีการผลิตที่ล้าหลัง กำลังถูกเปลี่ยนไปในสภาพที่ดีขึ้นในแบบมาตรฐานของชาวตะวันตก มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างขนานใหญ่และเป็นระบบในทุกรัฐของเอเชียกลาง การแบ่งงานระหว่างประเทศตามทรัพยากรที่แต่ละสาธารณรัฐมีและการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างขนานใหญ่ที่ตามมา โรงงานอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ มาพร้อมกับการสร้างชนชั้นปัญญาชน วิศวกร แพทย์และนักวิชาการของคนพื้นเมืองขึ้น แม้ในทาจิกิสถานซึ่งยังมีซากเดนของวิถีชีวิตในยุคกลางหลงเหลืออยู่มากก็ตาม ระบบการศึกษาแบบสมัยใหม่ทำให้คนในสาธารณรัฐเอเชียกลางอ่านออกเขียนได้ในจำนวนที่มากกว่าคนในอัฟกานิสถานซึ่งมีบรรพบุรุษเดียวกันเสียอีก มีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมากกว่าที่ปากีสถานและอิหร่านมี ที่สำคัญ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญในเรื่องปรัชญาสิทธิมนุษยชนและสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในเอเชียกลาง โดยเฉพาะ บทบาทของชาวพื้นเมืองในการเมืองการปกครอง ความเสมอภาคทางเพศและสิทธิของสตรีในภาคการผลิตและในทางสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น