อารยธรรมเมโสโปเตเมีย




          เมโสโปเตเมีย เป็นคำภาษากรีก แปลว่า ที่ระหว่างแม่น้ำ ดินแดนที่ชาวกรีกเรียกว่า เมโสโปเตเมียนี้ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำไทกรีสและยูเฟรตีสเป็นส่วนหนึ่งของ”ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์” ซึ่งเป็นดินแดนรูปครึ่งวงกลมผืนใหญ่ ที่ทอดโค้งขึ้นไปจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอ่าวเปอร์เซีย  มีนครหลวงคือกรุงแบกแดด

          เมโสโปเตเมีย เป็นดินแดนที่อากาศร้อนและกันดารฝน น้ำที่ได้รับส่วนใหญ่เป็นน้ำจากแม่น้ำที่มาจากหิมะละลาย ในฤดูร้อนบนเทือกเขาในอาร์เมเนีย น้ำจะพัดพา เอาโคลนตม ตะกอนมาทับถมชายฝั่งทั้งสอง ทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก การเอ่อล้นของน้ำในแม่น้ำอันเกิดจากหิมะละลายไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอนและบางครั้งก็สร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง ไร่นา ทรัพย์สินและชีวิตผู้คน การกสิกรรมที่จะได้ผลดีในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต้องอาศัยระบบการชลประทานที่มีประสิทธิภาพ



       

📍ปัจจัยที่เอื้ออำนวยที่ทำให้เกิดอารยธรรมเมโสโปเตเมี


          1. ความคิดสร้างสรรค์ในการรักษา ปรับปรุงและสืบทอดในอารยธรรมของกลุ่มชน 6 กลุ่มคือ


                  1.1 สุเมเรียน (Sumerians)

                  1.2 อัคคาเดียน (Akkadians)

                  1.3 อะมอไรท์ หรือ บาบิโลน(Amorites)

                  1.4 คัสไซท์ (Kassites)

                  1.5 อัสซีเรียน (Assyrians)

                  1.6 แคลเดียน (Chaldeans)

          2. แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส ทำให้เมโสโปเตเมียชุ่มชื้นเกิดการรวมตัวของกลุ่มชนและกำเนิดอารยธรรมเฉพาะขึ้น


          3. พรมแดนธรรมชาติซึ่งมีส่วนช่วยเป็นกำแพงป้องกันศัตรูภายนอก แม้ไม่ดีเท่าแถบลุ่มน้ำไนล์ก็ตาม แต่ก็เอื้ออำนวยให้กลุ่มชนซึ่งผลัดกันขึ้นมีบทบาทในเมโสโปเตเมียสามารถใช้ประโยชน์ของพรมแดนธรรมชาตินี้กำเนิดอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้น กล่าวคือทิศเหนือจรดเทือกเขาอเมเนียทิศใต้จรดอ่าวเปอร์เซีย ทิศตะวันออกจรดแนวเทือกเขายาว ทิศตะวันตกจรดทะเลทรายอารเบียน

📍ชนกลุ่มต่างๆที่สร้างอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมีย
1. สุเมเรียน
  • ตั้งอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของที่ราบเมโสโปเตเมียที่เรียกว่า “ซูเมอร์”
  • ปกครองแบบนครรัฐ (City States) แต่ละนครรัฐเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน มีกษัตริย์เป็นผู้นำ นครรัฐที่สำคัญเช่น เมืองอูร์ เมืองเออรุคและเมืองอิริดู เป็นต้น
  • นับถือเทพเจ้าหลายองค์ มีเทพเจ้าประจำนครรัฐ เน้นโลกนี้เป็นสำคัญ ไม่เชื่อเรื่องโลกหน้า

ซิกกูแรต 
  • สร้างซิกกูแรต (วิหารบูชาเทพเจ้า)
  • วรรณกรรมกิลกาเมช กล่าวถึงการพจญภัยของสีรบุรุษชาวสุเมเรียน
  • วรรณกรรมเอนลิล กล่าวถึงการสร้างโลกและน้ำท่วมโลก
  • รู้จักใช้ระบบชลประทาน เช่น อ่างเก็บน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ
  • ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก พืชที่สำคัญคือ ข้าวสาลี
  • รู้จักใช้ยานพาหนะเช่น รถม้า
  • รู้จักใช้โลหะผสม(สำริด) ทำเครื่องมือ เครื่องประดับ
  • รู้จักทอผ้า
  • รู้จักการบวก ลบ คูณ ทำปฏิทินจันทรคติ(ข้างขึ้น ข้างแรม) การนับวันเวลา

อักษรคูนิฟอร์ม(รูปลิ่ม)
  • ประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์ม(รูปลิ่ม) เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวด้วยปากกาที่ทำจากต้นอ้อแล้วนำไปตากแห้ง


2. อมอไรต์ หรือ บาบิโลน
                                                
พระเจ้าฮัมมูราบี

  • เป็นเผ่าเซมิติก อพยพมาจากทะเลทรายอาระเบียน มายึดครองนครรัฐของสุเมเรียน
  • ขยายอาณาจักรไปกว้างขวางและสถาปณาจักรวรรดิบาบิโลเนีย
  • กษัตริย์ที่สำคัญคือพระเจ้าฮัมมูราบี
  • มีการประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือกฎหมายฮัมมูราบี มีบทลงโทษแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”


3. ฮิตไทต์และคัสไซต์

ฮิตไทต์

มีความสามารถในการรบมาก

  • เป็นเผ่าอินโดยุโรเปียน
  • เดิมอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ขยายตัวมาตามลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส โจมตีทางเหนือของซีเรีย ปล้นกรุงบาบิโลนและปกครองดินแดนเมโสโปเตเมียต่อมา
  • มีความสามารถในการรบมาก
  • เป็นชนเผ่าแรกที่รู้จักใช้เหล็กทำเป็นอาวุธ รู้จักใช้รถเทียมม้าทำศึก
  • ตรงกับสมัยที่อียิปต์เรืองอำนาจ
  • กษัตริย์ฮัตตูซิลิที่ 3แห่งฮิตไทต์ และฟาโรห์รามเสสที่ 2แห่งอียิปต์ได้ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน และหากบุคคลที่ 3มาโจมตี ต้องช่วยเหลือกัน

คัสไซต์
ซากกรุงบาบิโลน

  • เข้ายึดครองกรุงบาบิโลน

4. แอสซีเรียน
  • เป็นเผ่าเซมิติกมาจากทะเลทรายอาหรับ
  • ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองนิเนเวห์
  • สามารถในการรบและการค้า
  • ขยายอำนาจถึงฟินิเชีย ปาเลสไตน์ อียิปต์และเปอร์เซีย
  • กองทัพแข็งแกร่ง มีระเบียบวินัยสูง
  • ใช้เหล็กทำอาวุธ
 พระราชวังซาร์กอน
  • มีการก่อสร้างที่ใหญ่โตมหึมา มำทำเป็นโดม เช่นพระราชวังซาร์กอน


อักษรคูนิฟอร์ม

  • มีการปั้นแบบนูนตัวและลอยตัว ให้อารมณ์สมจริง
  • มีการแกะสลักภาพ เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ
  • กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าอัชชูบานิปาล” เป็นสมัยที่เจริญสูงสุด มีการสร้างหอสมุดรวบรวมข้อมูลมหาศาลและยังรวบรวมแผ่นดินเหนียวที่มีอักษรคูนิฟอร์ม22,000แผ่น


5.แคลเดีย

 สวนลอยแห่งบาบิโลน
  • สวนลอยแห่งบาบิโลน
  • เป็นเผ่าเซเมติก โค่นล้มแอสซีเรียนได้
  • สถาปณาจักรวรรดิแคลเดียนหรือบาบิโลเนียใหม่

  • สร้างสวนลอยแห่งบาบิโลน ในสมัยพระเจ้าเนบูชัดเนสซาร์
  • ทำแผนที่ดวงดาว
  • คำนวณการเกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา
  • แบ่งสัปดาห์เป็น 7 วัน



6. เปอร์เซีย
   ชนเผ่าอินโดยุโรเปียน ปกครองบริเวณที่ราบสูงอิหร่านมีราชวงศ์ต่างๆปกครอง ดังนี้

     1) ราชวงศ์อะคีเมนิด


พระเจ้าไซรัสมหาราช
  • ก่อตั้งโดยพระเจ้าไซรัสมหาราช ขยายอำนาจไปจนถึงแม่น้ำสินธุ
     อียิปต์
  • พระเจ้าดาริอุส ขยายจักรวรรดิกว้างขวางไปอีก สร้างเมืองหลวงที่สวยงามชื่อ “เปอร์ชีโปลิช” สร้างถนนเชื่อมดินแดนในจักรวรรดิ ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของเปอร์เซีย
  • มีศาสนาโซโรแอสเตอร์ เป็นศาสนาประจำชาติ มีเทพเข้าอาหุรามาสดาเป็นเทพฝ่ายดีและอาหริมันป็นเทพฝ่ายชั่ว
  • ถูกกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกยึดครอง ทำให้เสื่อมลง

     2) ราชวงศ์เซลิวชิด
อเล็กซานเดอร์มหาราช
  • ก่อตั้งโดยทหารของกษัตริย์อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก แต่ไม่มีอำนาจ

     3) จักรวรรดิของชาวปาร์เถียน

กรุงแบกแดด
  • ย้ายเมืองหลวงไปที่แบกแดด

     4) ราชวงศ์ซัลซานิด

ศาสนาซีโรแอสเตอร์
  • ปกครองเป็นเวลา 400 ปีเศษ มีศาสนาอิสลามมาแทนที่ศาสนาซีโรแอสเตอร์

     5) ราชวงศ์อับบาสิด หรือ อาหรับมุสลิม
ราชวงศ์อับบาสิด
  • มุสลิมรุ่งเรืองทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
  • กษัตริย์ที่สำคัญคือ ฮารูณ อัล ราชิด ส่งเสริมด้านการค้าจนรุ่งเรือง

     6) สมัยมองโกลปกครอง

กรุงแบกแดด
  • ฮุลากุข่านหลานเจงกิสข่านมายึดกรุงแบกแดด ปกครองเป็นเวลา 200ปีครึ่ง

     7) ราชวงศ์ซาฟาวี
 ชาห์ อับบาสมหาราช 
  • ขับไล่มองโกลไปได้ ย้ายเมืองหลวงไปที่อิสฟาฮาน
  • กษัตริย์ที่สำคัญคือ ชาห์ อับบาสมหาราช ปฏิรูปการปกครอง
  • นับถืออิสลามนิกายชีอะห์

     8) ราชวงศ์คะจาร์
  • เชื้อสายเติร์ก ไม่ค่อยมีอำนาจ ปกครองแบบเผด็จการ
  • รัสเซียและอังกฤษขยายอำนาจ

     9) ราชวงศ์ปาเลวี

เรซา ชาห์ ปาเลวี
  • กษัตริย์คนแรกคือ เรซา ชาห์ ปาเลวี เปลี่ยนชื่อจากเปอร์ซียเป็นอิหร่าน
  • สมัยพระเจ้ามุฮำมัด เรซาห์ ชาห์ นำกฎหมายฝรั่งเศสมาใช้ มีการปฏิรูปที่ดิน แต่เศรษฐกิจก็ถดถ้อย

     10) สมัยสาธารณรัฐอิสลาม


 อยาโตลลา โคไมนี
  • อยาโตลลา โคไมนี โค่นราชวงศ์ปาเลวี เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
  • ต่อต้านสหรัฐอเมริกา
  • เมื่ออยาโตลลา โคไมนีถึงแก่กรรม ผู้นำได้ดำเนินนโยบายสายกลาง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้เสรีภาพ ให้สิทธิสตรี


📍ชนบางกลุ่มที่สร้างอารยธรรมในเอเชียไมเนอร์

     1.) ฮิตไตท์
  • เป็นชาติแรกที่รู้จักใช้เหล็ก
     2.)ลิเดียน
  • เป็นชาติแรกที่มีผลิตเหรียญกษาปณ์ขึ้นใช้
     3.)ฟินิเชียน
  • สร้างเรือใบขนาดใหญ่  รวมทั้งเมืองท่าขนาดใหญ่ด้วย
  • นำอักษรของอียิปต์และลิ่่มมาดัดแปลงเป็นอักษรอัลฟาเบต(อักษรที่ใช้เสียงสระและพยัญชนะประสมกัน)ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของภาษากรีก-ละติน

     4.)ฮิบรู
                 
กษัตริย์โซโลมอน

  • เป็นบรรพบุรุษของชาวยิว
  • เรื่องราวของชาวฮิบนูปรากฏอยู่มนภาคแรกของคัมภีร์ไบเบิล
  • กษัตริย์เดวิด เป็นปฐมกษัตริย์
  • กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ กษัตริย์โซโลมอน
  • นับถือลัทธิยูดาย
  • หลังจากกรีก-โรมัน เรืองอำนาจในเอเชียตะวันตก แต่อารญธรรมเมโสโปเตเมียก็ไม่สูญสลายก็มีวัฒนธรรมกรีก-โรมัน เป็นรากฐานวัฒนธรรมโลกต่อมา



📍ศิลปกรรมและวัฒนธรรมเมโสโปเตเมีย

อักษรคูนิฟอร์ม


       การประดิษฐ์อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มบนแผ่นดินเหนียวส่วนใหญ่ใช้ต้นกกหรือไม้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวกดเป็นรูปลิ่มอักษร จึงถูกเรียกชื่อว่า “คูนิฟอร์ม”แล้วนำไปผึ่งแดด หรือเผาไฟให้แห้งแข็ง

ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์


       มีการใช้อิฐในก่อสร้างและความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ ชาวสุเมเรียนได้สร้างผลงานการก่อสร้างอื่นๆและทำปฏิทินจันทรคติ วันหนึ่งแบ่งเป็นกลางวัน ชั่วโมง กลางคืน ชั่วโมง การนับในหน่วย 60ซึ่งตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เช่นการนับ ชั่วโมงมี 60 นาที นาทีมี 60 วินาที วงกลมมี 360 องศา (60หกครั้ง)

    ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี

           เป็นบทบัญญัติที่รวบรวมกฎหมายต่าง ๆ และพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ฮัมมูราบี ราชาแห่งบาบิโลเนีย และเป็นประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุด ประมวลกฎหมายนี้ถูกคัดลอกไว้โดยการแกะสลักลงบนหินบะซอลต์สีดำสูง 2.25 เมตร ซึ่งต่อมาทีมนักโบราณคดีฝรั่งเศสขุดพบที่ประเทศอิรัก ในช่วงฤดูหนาวปี 1901 ถึง 1902 หินสลักนี้แตกเป็น ชิ้น และได้รับการบูรณะ

      มหากาพย์กิลกาเมช

             เป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ของบาบิโลน เล่าเรื่องกษัตริย์กิลกาเมชกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลก ปรากฏในจารึก 12 แท่งด้วยกัน (นักโบราณคดีส่วนมากเชื่อว่าจารึกแท่งที่ 12 นี้ถูกแต่งเพิ่มขึ้นในภายหลัง) ซึ่งสอดคล้องกับตำนานของชาวซูเมอร์ มหากาพย์เรื่องนี้จารึกไว้ในแผ่นดินเหนียวในหอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย  เมื่อราว ศตวรรษที่ ก่อนคริสตกาล

        ประติมากรรมอัสซีเรีย
                   ลักษณะสําคัญของประติมากรรมอัสซีเรียเป็นแบบเหมือนจริงมีความละเอียดลออ แสดง
        กล้ามเนื้อ เส้นเลือดตามแขนขาของรูปคน หรือ สัตว์ โดยเน้นให้เห็นอย่างเด่นชัดทําให้เกิดความรู้สึก
        แข็งแรงหนกแน่น ตลอดจนสามารถแสดงความรู้สึกออกมาอย่างสมบูรณ์

        • ภาพประติมากรรมนูนสูง เรียกว่า ลามาสสุ (LAMASSU) หรือ รูปวัวมีปีกที่มีศรีษะเป็นคน สูง 16 ฟุตจาก พระราชวังของพระเจ้าซาร์กอนที่ 2 



        • ภาพประติมากรรมนูนต่ำ รูปสิงโตตัวเมียที่กำลังนอนบาดเจ็บ (A WOUNDED LIONESS) 


        • ภาพประติมากรรมนูนต่ำ รูปกษัตริย์ อัสซูมานิบาล กำลังล่าสิงโต 




        • ภาพประติมากรรมนูนต่ำ รูปสิงโตกัดเด็กหนุ่ม ขนาดสูง 10 เซนต์ติเมตร ทำด้วยการแกะสลักงาช้าง พบในพระราชวัง ที่เมืองนิมรุด




        พระราชวังของพระเจ้าซาร์กอน

             สถาปัตยกรรม สิ่งที่แสดงสำคัญถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอัสซีเรียและมีความสำคัญที่สุด คือ พระราชวังของพระเจ้าซาร์กอน (Sargon) ที่คอร์ซาบัด (Khorsabas) มีลักษณะเป็นกำแพงสูงทึบเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าการก่อสร้างตึกสูงเป็นชั้น ๆ โดยมีพระราชวังอยู่ชั้นบนสุดนั้นเพื่อให้พ้นจากอุทกภัย ประตูทางเข้า ตัวกำแพง หรือป้อมค่ายต่าง ๆ ล้วนมีรูปทรงเรขาคณิตทั้งนั้น โดยเฉพาะส่วนโค้งนับว่าเป็นรูปแบบที่สำคัญที่สุดในการสร้างพระราชวังของพวกอัสซีเรียน


        ประตูอิชตาร์ (THE ISHTAR GATE)


                  ในสมัยของพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์นั้นได้มีการสร้างกำแพงล้อมรอบกรุงบาบิโลนเอาไว้ โดยมีประตูหลวงที่เรียกว่า “ประตูอิชตาร์” (The Ishtar Gate)

                   ประตูนี้มีขนาดสูง 47 ฟุต สร้างจากวัสดุประเภทอิฐและเคลือบสีสวยงามมาก มีการแกะสลักเป็นภาพสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า “กริฟฟิน” (Griffin) นอกจากนี้ยังมีลวดลายรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ม้า วัว สิงโต และมังกร ฯลฯ ประดับอยู่ทั่วไปเป็นระยะ ๆ ปัจจุบันกำแพงอิชต้าถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน (State Museum of Berlin) ประเทศเยอรมัน


        ซิกกูแรต (ZIGGURAT)


                ซิกกูแรต (Ziggurat) เป็นสิ่งก่อสร้างของชาวสุเมเรียน (Sumerians) ในแถบดินแดนเมโสโปเตเมีย ซิกกูแรตนั้นมีลักษณะคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันได แต่จะไม่มีการก่อสร้างสูงจนเป็นยอดแหลมเหมือนกับปิรามิดของชาวอียิปต์ ด้านบนของซิกกูแรตจะเป็นพื้นที่ราบกว้างและสร้างเป็นวิหาร ในระยะแรกการสร้างซิกูแรตมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา       ต่อมาซิกกูแรตนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังของกษัตริย์แทน เช่น ซิกกูแรตที่เมืองอูร์ (Ur)

        สวนลอยบาบิโลน (THE HANGING GARDEN OF BABYLON)

              สวนลอยบาบิโลน จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 3 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อ พระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สูงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่างๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำไทกริสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี สวนนี้ได้พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลังศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช


                จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฎว่ากรุงบาบิโลน อยู่ในเมืองแบกแดก ของประเทศอิรักในปัจจุบัน หลังจากพระเจ้าเนบูชัดเนซซาร์สิ้นพระชนม์ลงได้ 22 ปี อาณาจักรนี้ก็ตกเป็นของจักรพรรดิไซรัสมหาราชแห่งเปอร์เชีย

        ห้องสมุดดินเหนียว


               ห้องสมุดดินเหนียว เป็นห้องสมุดที่ค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ได้แก่แถบลุ่มแม่น้ำไทกรีส (Tigris) และยูเฟรตีส (Euphrates) ปัจจุบันคือ ประเทศอิรัก ชนชาติต่าง ๆ ในแถบนี้คือ ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ชาวบาบิโลเนียน (Babylonians) และชาวอัสซีเรียน (Assyrians) พวกนี้รู้จักบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของตนลงบนแผ่นดินเหนียว



        ศิลปะเครื่องประดับเมโสโปเตเมีย



               ผลงานทางด้านเครื่องประดับของเมโสโปเตเมียนั้น มีความงดงามที่น่าสนใจ ขุดค้นพบที่สุสานราชวงศ์กษัตริย์ที่เมืองเออร์ มีเครื่องประดับที่เป็นใบไม้ดอกไม้ ซึ่งเป็นงานออกแบบเพื่อการตกแต่งที่สวยงาม เป็นผลงานที่มีความประณีตสูง โดยมากผลิตเครื่องประดับของเมโสโปเตเมียนิยมใช้เทคนิคการเคาะทุบด้วยค้อนในการขึ้นรูปทรง และการใช้ตะปูหัวแบบต่างๆ มาตกแต่งรายละเอียด จึงทำให้ผลงานเครื่องประดับของเม




        📍เมโสโปเตเมียเป็นแหล่งอารยธรรมที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง เมโสโปเตเมีย แปลว่า ดินแดนระหว่างแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำไทกรีสและยูเฟรทีส (ปัจจุบันคือดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศอิรัก) ระหว่างสองฝั่งแม่น้ำทั้งสองสายเป็นพื้นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ทำให้กลุ่มชนชาติต่างๆเข้ามาทำมาหากินและสร้างอารยธรรมขึ้น รวมทั้งถ่ายทอดอารยธรรมจากกลุ่มหนึ่งสู่กลุ่มหนึ่ง ทำให้เกิดอารยธรรมแบบผสม

        ไม่มีความคิดเห็น:

        แสดงความคิดเห็น