สุเมเรียน
เมื่อประมาณ 4,000
ปีก่อนคริสต์ศักราชชาวสุเมเรียนได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) ปากแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ซึ่งเรียกกัน ในเวลาต่อมาว่าดินแดนซูเมอร์
ในระยะแรกชุมชนชาวสุเมเรียนเป็นหมู่บ้านยุคหินใหม่
หมู่บ้านเหล่านี้ได้ขยายตัวขึ้นเป็นชุมชนวัด และในเวลาต่อมา
ชุมชนวัดแต่ละแห่งได้พัฒนาขึ้นเป็นเมือง ที่สำคัญ ได้แก่เมืองเออร์(Ur) เมืองอิเรค (Ereck) เมืองอิริดู (Eridu) เมืองลากาซ (Lagash) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แต่ละเมืองมีชุมชนเล็กๆ ที่รายรอบอยู่เป็นบริวาร
ทำให้มีลักษณะเป็นรัฐขนาดเล็กที่เรียกว่านครรัฐ (City State) นครรัฐเหล่านี้ต่างปกครองเป็นอิสระแก่กัน
ในขณะที่ชาวสุเมเรียน
สถาปนานครรัฐขึ้นทางตอนล่างของลุ่มแม่น้ำไทกรีส - ยูเฟรตีส หลายนครรัฐชนกลุ่มอื่นๆ
ก็ได้สถาปนานครรัฐของตน ในบริเวณตอนเหนือขึ้นไปอีกหลายแห่งแต่มีความเจริญทางอารยธรรมด้อยกว่านครรัฐ
ของชาวสุเมเรียนในดินแดนซูเมอร์ก็ตามแต่ภาษาที่ใช้สืบมาจากรากเดียวกันคือ
ภาษาอินโด-ยูโรเปียน อันเป็นต้นกำเนิดจากภาษาลาติน กรีก เปอร์เซีย สันสกฤต
รวมทั้งภาษาเยอรมันและภาษาโรมานซ์ในปัจจุบัน
มองจากแง่ของภาษาอนารยชนกลุ่มใหม่เหล่านี้ก็คือบรรพบุรุษของเรานั่นเอง
การบุกรุกทางใต้ของชนเหล่านี้มีผลทำให้ชนเผ่าอื่นถูกแย่งที่ไปอย่างรุนแรงใน
ช่วงประมาณปี 1750 ถึง1550 ก่อนคริสตกาล พวกอนารยชนดังกล่าวตลอดจนพวกอื่นๆ
ที่ดำเนินรอยตามได้ทำลายความต่อเนื่องทางการเมืองและวัฒนธรรมของดินแดนตะวัน
ออกใกล้สมัยโบราณ ประมาณปี 1595 ผู้รุกรานเผ่าอินโด-ยูโรเปียน
ก็ทำให้ราชวงศ์ของพระเจ้าฮัมบูราบีในนครบาบิโลนต้องสิ้นสุดลงซึ่งฉุดให้เมโสโปเตเมียเข้าสู่ช่วงเวลาอันยาวนานของความเสื่อมของทางวัฒนธรรมและความไม่สงบ
ทางการเมือง
คนกลุ่มแรกที่สร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นคือชาวสุเมเรียน
ผู้คิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก
อารยธรรมที่ชาวสุเมเรียนสร้างขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
สถาปัตยกรรม ตัวอักษร วรรณกรรม ศิลปกรรมอื่นๆ
ตลอดจนทัศนคติต่อชีวิตและเทพเจ้าของชาวสุเมเรียนได้ดำรงอยู่และมี อิทธิพลอยู่ในลุ่มแม่น้ำทั้งสองตลอดช่วงสมัยโบราณ
☁️การปกครอง
พระหรือนักบวชมีอำนาจมาก
พระมีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและเป็นประมุขสูงสุดเรียกว่า Patesi ทำการปกครองในนามของพระเจ้าดูแลควบคุมกิจการภายในนครรัฐ
☁️เศรษฐกิจและสังคม
อาชีพหลักคือเกษตรกรรม มีความชำนาญ มีการใช้ระบบชลประทาน
ขุดคลองระบายน้ำ ทำการเพาะปลูกโดยเป็นไร่ขนาดใหญ่ ปลูกผลไม้ ประดิษฐ์คันไถ
เครื่องหยอดเมล็ด มีการเลี้ยงสัตว์ เครื่องปั้นดินเผา มีมาตราชั่งตวงวัด
การทอผ้าและย้อมผ้า
มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมเป็น
3 กลุ่มคือ
- ชนชั้นสูง ได้แก่ กษัตริย์ พระราชวงศ์
พระชั้นผู้ใหญ่ ขุนนาง
- ชนชั้นสามัญ เป็นเสรีชน
ลูกจ้างของขุนนาง
- ทาส
- ชาวต่างประเทศและเชลยสงคราม หรืออาชญากรที่ถูกลงโทษ
☁️การเขียนหนังสือ
ชาวสุเมเรียนเป็นชนชนาติแรกในเมโสโปเตเมียที่รู้จักการเขียนหนังสือตั้งแต่
3000 ปีก่อนคริสตกาล โดยการประดิษฐ์อักษรรูปลิ่ม หรือที่เรียกว่า คูนิฟอร์ม (Cuneiform) ภายหลังได้ดัดแปลงแก้ไข
มีการคิดเครื่องหมายต่างๆ เพื่อใช้แทนภาพ
☁️ศาสนา
มีส่วนสำคัญมากในชีวิตของชาวสุเมเรียน
พระดำรงตำแหน่งในการปกครองและตำแหน่งสำคัญอื่นๆ นับถือพระเจ้าหลายองค์พร้อมๆกัน
มีการสร้างหอวิหารใหญ่โตเรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) เป็นวัดที่มีรูปร่างคล้ายปิรามิด ทำเป็นชั้นๆสร้างขึ้นด้วยอิฐ
เพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้า
☁️สถาปัตยกรรม
ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยอิฐ เนื่องจากมีดินเหนียวบริเวณนี้มาก มีสองประเภทคือ อิฐตากแห้ง (Sun dried brick) และอิฐเผาไฟ (baked brick) ซึ่งป้องกันความชื้นได้ดี ใช้สร้างยกพื้น กำแพงและส่วนก่อสร้างที่ต้องการความมั่นคงถาวร
ซิกกูแรต (Ziggurat) เป็นสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมสุเมเรียน (Sumerians) ในบริเวณเมโสโปเตเมีย
มีลักษณะคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันไดแต่ไม่ก่อสร้างสูงจนเป็นยอดแหลม
ด้านบนของซิกกูแรตซึ่งเป็นพื้นที่ราบกว้างจะสร้างเป็นวิหาร
ในระยะแรกการสร้างซิกูแรตมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
แต่ต่อมาซิกกูแรตนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังกษัตริย์ เช่น
ซิกกูแรตที่เมืองอูร์ (Ur)
ซิกกูแรตสร้างขึ้นด้วยวัสดุจำพวกอิฐและไม้
ความแข็งแรงคงทนจึงสู้งานสถาปัตยกรรมยุคต่อมา เช่น พีระมิดอียิปต์ไม่ได้
เพราะงานของอียิปต์สร้างด้วยวัสดุจำพวกหิน
ซิกกูแรตเก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบมีชื่อว่า “The White Temple” พบที่เมืองอูรุค (Uruk)หรือวาร์กา (Warka) บริเวณพื้นที่ประเทศอิรักในปัจจุบัน มีอายุประมาณ 3,500 – 3,000 ปี ก่อนคริสตกาล
ซึ่งเก่าแก่กว่าพีระมิดของอียิปต์หลายร้อยปี
☁️ปฏิทิน
เป็นแบบจันทรคติ
เดือนหนึ่งมีประมาณ 29.5 วัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน ปีหนึ่งมี 354 วัน
เดือนหนึ่งแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ๆ ละ 7-8 วัน วันหนึ่งแบ่งเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง
กลางคืน 6 ชั่วโมง (1 ช.ม. = 2 ช.ม. ในปัจจุบัน)
☁️วรรณกรรม
มีนิยาย กาพย์ กลอน
ซึ่งท่องจำต่อๆกันมา งานส่วนใหญ่เกี่ยวกับศาสนา เช่น บทสวด คำโคลงสดุดีเทพเจ้า ฯลฯ
ที่เด่นที่สุดคือ มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) ปรากฏในจารึก 12 แท่งด้วยกัน
ซึ่งเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษกิลกาเมซซึ่งเป็นกษัตริย์ชาวอูรุก
สุเมเรียนมีอำนาจปกครองบริเวณซูเมอร์เกือบพันปี ต่อมาพวกชนเผ่าเซเมติค
แทรกซึมทางตะวันตก
ผู้นำชนเผ่าคือ พระเจ้าซาร์กอนแห่งแอคคัดได้ยกกำลังกองทัพลงมาในเขตซูเมอร์
ทำให้นครรัฐสุเมเรียนยอมแพ้
มหากาพย์เรื่องนี้จารึกไว้ในแผ่นดินเหนียวในหอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
เมื่อราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล
☁️มังกรในตำนานของชาวสุเมเรียน
มังกรในตำนานของชนสุเม-เรียนแห่งนครบาบิโลน
ซึ่งก่อตั้งขึ้นราว 2,000 ปีก่อน ค.ศ.
โดยตำนานเล่าว่า หลังกำเนิดของพิภพ มีมังกรเพศเมียนามว่า ติอาแม็ท (TIAMAT) เป็นเทพีแห่งทะเลนํ้าเค็ม
เมื่อนํ้าเค็มของติอาแม็ทผสมผสานกับนํ้าจืดของเทพ อัพสุ (APSU) ก็เกิดการปฏิสนธิของเทพองค์อื่นๆ อีกมากมาย
ต่อมาอัพสุต้องการชิงอำนาจจากจอมเทพ
อีอา (EA) จึงเกิดเทวสงครามขึ้น แรกๆ ทัพของอัพสุกับติอาแม็ททำท่าว่าจะมีชัย
แต่แล้วก็เกิดมีวีรเทพซึ่งเป็นโอรสของอีอาพระนามว่า มาร์ดุค (MARDUK) เข้ามาขัดขวางติอาแม็ทอ้าโอษฐ์ เพื่อกลืนกินมาร์ดุค
แต่วีรเทพได้สาดมหาพายุเข้าไปในโอษฐ์ของเธอจนหุบไม่ลง
แล้วมาร์ดุคก็ใช้แหจับติอาแม็ทไว้ได้ เอาศรเสียบร่างแล้วเอาดาบ
ผ่ากายของเธอออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งบังเกิดเป็นหลังคาสวรรค์ อีกซีก
หนึ่งเป็นท้องมหาสมุทร นอกจากนี้ มาร์ดุค ยังเอาดาบเสียบลูกตาของติอาแม็ท โลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็นแม่นํ้าสองสาย
คือ ไทกริส กับ ยูเฟรติส แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย
☁️ข้อควรสังเกต
1.บริเวณเมโสโปเตเมียเป็นบริเวณที่มีอากาศรุนแรง
ฤดูร้อนอากาศร้อนจัด ฤดูหนาวอากาศหนาวจัด ฝนตกน้อย (ปีหนึ่งไม่เกิน 3 นิ้ว)
ความรุนแรงของภูมิอากาศทำให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ขาดความกระตือ รือร้น
เมื่อถูกศัตรูที่แข็งแกร่งรุกรานก็หลีกทางให้
เมโสโปเตเมียจึงเป็นบริเวณที่มีชนหลายชาติหลายภาษาผลัดเปลี่ยนกันเข้ามายึด
ครองตลอดเวลา
2.เมโสโปเตเมียตั้งอยู่ในที่โล่ง
ปราศจากกำแพงธรรมชาติที่จะป้องกันการบุกรุกจากศัตรูภายนอกชนพวกแรกที่เข้ามา
ตั้งถิ่นฐานบริเวณเมโสโปเตเมียคือ พวกสุเมเรียน (Sumerian) ชนพวกนี้จะสืบเชื้อสายมากจากชาติใดไม่อาจทราบชัดทราบแต่เพียงว่า
เดิมเป็นชนเผ่าพเนจร อพยพมาจากภูเขาทางทิศตะวันออก
เข้าไปตั้งถิ่นฐานแถบบริเวณปากแม่น้ำทั้งสองก่อนเมื่อประมาณ 2900-2800
ปีก่อนคริสตกาลแล้วขยายสู่คาบสมุทรชินาร์ (Shinar)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น