เปอร์เซีย
ชาวเปอร์เซีย
จักรวรรดิเปอร์เชีย (Persian Empire) คือจักรวรรดิและอาณาจักรต่างในประวัติศาสตร์ของเปอร์เชียที่ปกครองต่อเนื่องกันมาในบริเวณที่ราบสูงอิหร่าน, ถิ่นกำเนิดของเปอร์เชีย และไกลไปทางเอเชียตะวันตก, เอเชียใต้, เอเชียกลาง และ บริเวณคอเคซัสจักรวรรดิเปอร์เชียจักรวรรดิแรกก่อตั้งภายใต้จักรวรรดิมีเดีย (728–559 ปีก่อนคริสต์ศักราช) หลังจากการโค่นจักรวรรดิอัสซีเรียด้วยความช่วยเหลือของบาบิโลเนีย
จักรวรรดิเปอร์เชียอคีเมนียะห์
(550–330 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในยุคโบราณ
และมารุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าดาไรอัสมหาราช และ พระเจ้าเซอร์ซีสมหาราช ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นศัตรูคนสำคัญองรัฐกรีกโบราณ
บริเวณที่ตั้งเดิมอยู่ในบริเวณที่ในปัจจุบันรู้จักกันว่าจังหวัดพาร์ส
(จังหวัดฟาร์ส) ในประเทศอิหร่านปัจจุบัน
จักรวรรดิเปอร์เชียก่อตั้งภายใต้พระเจ้าไซรัสมหาราชผู้ทรงยึดจักรวรรดิจากชนมีดีส
(Medes) และทรงขยายดินแดนออกไปทางตะวันออกกลางที่รวมทั้งดินแดนของบาบิโลเนีย, อัสซีเรีย, ฟินิเซีย และ ลิเดีย
หลังจากนั้นพระเจ้าแคมไบซีสที่ 2 แห่งเปอร์เชีย (Cambyses II of Persia) พระราชโอรสในพระเจ้าไซรัสก็ทรงดำเนินนโยบายการขยายดินแดนต่อไปยังอียิปต์
จักรวรรดิอคีเมนียะห์มาสิ้นสุดลงระหว่างสงครามอเล็กซานเดอร์มหาราช
แต่ก็มาฟื้นตัวอีกครั้งในรูปของจักรวรรดิพาร์เธียน และ จักรวรรดิซาสซานิยะห์ แห่ง
อิหร่าน ที่ตามมาด้วยยุคประวัติศาสตร์หลังศาสนาอิสลามของจักรวรรดิต่างๆ
เช่นจักรวรรดิทาฮิริยะห์, จักรวรรดิซาฟาริยะห์, จักรวรรดิไบอิยะห์, จักรวรรดิซามานิยะห์, จักรวรรดิกาสนาวิยะห์, จักรวรรดิเซลจุค
และ จักรวรรดิควาเรซเมีย มาจนถึงอิหร่านปัจจุบัน
จักรวรรดิต่างๆ
ที่รุ่งเรืองต่อเนื่องกันมาในเกรตเตอร์อิหร่าน ก่อนเดือนมีนาคม ค.ศ. 1935
เรียกรวมกันว่า “จักรวรรดิเปอร์เชีย” โดยนักประวัติศาสตร์ตะวันตก จักรวรรดิต่างๆ
เหล่านี้เกือบทุกจักรวรรดิเป็นจักรวรรดิมหาอำนาจในบริเวณที่ปกครอง
และบางจักรวรรดิก็เป็นมหาอำนาจของโลกในสมัยที่รุ่งเรือง
🐴ประวัติศาสตร์เปอร์เซีย
ขณะที่บาบิโลนครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคใต้ของราชอาณาจักรเก่าของอัสซีเรีย
พวกมีเดียครองความเป็นใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ
สองจักรวรรดินี้ตั้งอยู่คู่เคียงกันเป็นเวลานานประมาณเจ็ดสิบปีโดยไม่มีการสู้รบกันอย่างเปิดเผย
ในปี ก่อนค.ศ. 550
มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น อัสทียาเกส (Astyages) แห่งมีเดียยกทัพไปต่อสู้กับพวกเอลาม ซึ่งตอนนั้นกษัตริย์ไซรัส (Cyrus) แห่งเปอร์เซียปกครองอยู่
การสู้รบกันครั้งนี้ปรากฎว่ากองทัพมีเดียปราชัยยับเยิน เพราะกษัตริย์ไซรัสทรงเดชานุภาพและเป็นที่นิยมรักใคร่ของประชาชนเกินกว่าที่จะเอาชนะพระองค์ได้
ไซรัสทรงสามารถขับพวกมีเดียให้ล่าทัพกลับ
แล้วตามไปโจมตีถึงในดินแดนของชาวมีเดียจนได้ชัยชนะ
อีกไม่นานไซรัสก็ตั้งตนเองเป็นกษัตริย์ในเอคบาทานา (Ecbatana)และอ้างว่าพระองค์มีอำนาจในจักรวรรดิมีเดีย
นาโบนิดัด (Nabonedus) แห่งบาบิโลนกลัวว่าไซรัสจะยกทัพเลยเข้ามาโจมตีจักรวรรดิของพระองค์
ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น พระองค์จึงได้ร่วมกับผู้นำมิตรประเทศ ได้แก่ อามาซิส (Amasis) แห่งอียิปต์ และ โครเอซัส (Croesus) แห่งลิเดียจัดตั้งกองกำลังเพื่อป้องกันประเทศของพวกตน
กษัตริย์ไซรัสบุกเข้ายึดซารดิส (Sardis) เมืองหลวงของลิเดียได้เป็นแห่งแรกในปี
ก.ค.ศ. 547พอถึงปี ก่อน ค.ศ. 539 ไซรัสทรงยกทัพเข้าโจมตีบาบิโลนโดยตรง
เวลานั้นประชาชนชาวบาบิโลนไม่นิยมเลื่อมใสในตัวกษัตริย์นาโบนิดัด
เพราะนอกจากพระองค์จะเป็นชาวอารัมที่มาจากเมืองฮารานซึ่งไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แคลเดียแห่งบาบิโลนแล้ว
พระองค์ก็ยังไม่ยอมสักการะเทพเจ้ามาร์ดุกอีกด้วย
จึงทำให้พวกปุโรหิตของพระมาร์ดุกไม่ชอบพระองค์ นาโบนิดัดเลื่อมใสศรัทธาพระสิน(Sin) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ เทพองค์นี้มีวิหารอยู่ที่เมืองฮาราน
ก่อนหน้านั้นหลายปี
คือก่อนที่กษัตริย์ไซรัสจะยึดเอคบาทานาได้นาโบนิดัดปล่อยให้เบลชัสซาร์โอรสของพระองค์ปกครองประเทศแทน
ผลที่ตามมาก็คือไม่มีการฉลองเทศกาลปีใหม่ติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี
เพราะเทศกาลนี้กษัตริย์จะต้องเป็นผู้นำในพิธีรื้อฟื้นความเป็นผู้นำประเทศ
เรื่องนี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจนาโบนิดัดอย่างมาก
ดังนั้นเองจึงไม่เตรียมตัวเตรียมใจเพื่อต่อสู้กับไซรัสอย่างเต็มกำลัง
ไซรัสรบชนะบาบิโลนที่เมืองโอปิส
(Opis) บนฝั่งแม่น้ำไทกรีสเมื่อปี ก่อน ค.ศ. 539
และอีกไม่กี่วันต่อมาแม่ทัพของพระองค์ก็ยึดกรุงบาบิโลนได้สำเร็จโดยไม่มีการต่อสู้มากนัก
นาโบนิดัดทรงหนีเอาตัวรอดแต่ก็ถูกจับได้
ชาวบาบิโลนต้อนรับกษัตริย์ไซรัสด้วยความปีติยินดีในฐานะที่ทรงเป็นวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาและผู้รับใช้ของพระมาร์ดุก
เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระมาร์ดุกกษัตริย์ไซรัสจึงทรงรื้อฟื้นเทศกาลปีใหม่ขึ้นมาอีก
และนำรูปปฏิมาของเทพเจ้าต่าง ๆ กลับไปไว้ในเทวสถานเดิมของใครของมัน
หลังจากไซรัสได้บาบิโลนไว้ในความครอบครองแล้วไม่นาน
บรรดาเจ้านายผู้ปกครองมณฑลต่างด้าวต่าง ๆ ก็พากันมาสวามิภักดิ์
จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งขึ้นได้ด้วยการผนวกจักรวรรดิมีเดีย จักรวรรดิบาบิโลน
พร้อมกับดินแดนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลเข้าด้วยกัน โดยมีกรุงเอาบาทานาเป็นเมืองหลวง
กษัตริย์ไซรัส (Cyrus)
นาโบนิดัด (Nabonedus)
จักรวรรดิเปอร์เซียตั้งอยู่ได้นานประมาณสองร้อยปี กษัตริย์องค์หลัง ๆ ไม่ใช่นักปกครองที่ดีเหมือนไซรัส อียิปต์และกรีกเป็นศัตรูตัวฉกาจของเปอร์เซีย โดยคัมบีเซส (Cambyses) โอรสของไซรัสปราบอียิปต์ได้สำเร็จในปี ก่อน ค.ศ. 525 แต่ประชาชนชาวอียิปต์ไม่เต็มใจอยู่ใต้ปกครองของเปอร์เซียจึงก่อการกบฏขึ้นบ่อย ๆ หลายครั้งก็ได้รับความช่วยเหลือจากประเทศกรีก ระหว่าง ก่อน ค.ศ. 401-342 อียิปต์ได้รับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ก็ต้องสูญเสียไปอีกก่อนที่จักรวรรดิเปอร์เซียจะถูกโค่นลง
ประเทศกรีกสร้างความเดือดร้อนให้แก่เปอร์เซียมากกว่า
และเปอร์เซียก็ไม่เคยเอาชนะกรีกได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว กษัตริย์เซอร์ซิสที่ 1 (Xerxis l) เป็นกษัตริย์แห่งเปอร์เซียองค์แรกที่พยายามจะพิชิตกรีกให้ได้
พระองค์ยกทัพเรือไปรบกับกรีกครั้งแรกในปี ก่อน ค.ศ. 480 แรก ๆ
ก็ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง
ถึงกับสามารถยึดกรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของกรีกได้
แล้วเผาวัดวาอารามและอาคารบ้านเรือนของประชาชนที่ตั้งอยู่บนเนินเขา อะโครโปลิส
แต่อีกไม่นานกองทัพกรีกก็สามารถทำลายเรือรบส่วนใหญ่ของเปอร์เซีย
กองทัพของเซอร์ซิสที่ 1 พ่ายแพ้ยับเยิน พระองค์เองก็ถูกปลงพระชนม์
อาร์ทาเซอร์ซิสที่ 1 (Artaxerxes l) ทำสงครามกับกรีกต่อไป แต่ในที่สุดก็ยอมทำสัญญาสงบศึกกันในปี ก่อน
ค.ศ.449 หลังจากนั้นพวกกรีกก็รบพุ่งกันเอง
เปอร์เซียจึงล่ากลับไปเฝ้าดูพวกกรีกฉีกเนื้อกันเองออกเป็นชิ้น ๆ
ในสงครามที่เปโลโปนนีเชียน(Peloponnesian War ก่อน
ค.ศ. 431-404) ตอนนั้นไม่จำเป็นที่เปอร์เซียต้องเข้าไปแทรกแซง
ชาวกรีกเอาแต่รบกันเองจนไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่จักรวรรดิเปอร์เซีย
แต่ผลสุดท้ายก็สร้างความพินาศให้แก่เปอร์เซียอยู่ดี ทันทีที่เลิกทำสงครามกันเอง
พวกกรีกก็เริ่มก่อกวนสร้างความเดือดร้อนให้แก่บรรดาผู้ปกครองของเปอร์เซีย
เมื่ออียิปต์เข้าร่วมผสมโรงด้วยก็ทำให้ยิ่งเดือดร้อนขึ้นกว่าเดิม ในที่สุดอเล็กซานเดอร์มหาราช
(Alexander
the Great) แห่งประเทศกรีกก็ทำลายอาณาจักรเปอร์เซียได้สำเร็จ
แล้วทรงครอบครองโลกสมัยโบราณไว้ได้ทั้งหมดตั้งแต่แม่น้ำดานูบจรดแม่น้ำอินดัสและเลยไปอีก
🐴ศาสนาของชาวเปอร์เซีย
ศาสนาดั้งเดิมของชาวเปอร์เซีย
เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์และกสิกรรมแบบเรียบง่าย
แต่ต่อมาก็มีศาสนาใหม่ ศาสนาโซโรแอสเตอร์เกิดขึ้น
ศาสนานี้พัฒนาขึ้นผลงานของชายผู้หนึ่งชื่อว่า ซาราธุสตรา (Zarathustra) หัวใจของศาสนาโซโรแอสเตอร์อยู่ที่หนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือพระคัมภีร์
เช่นเดียวกันกับศานายูดาย อิสลาม คริสต์ศาสนาและศาสนาของชาวตะวันออกอีกหลายศาสนา
หนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เรียกว่า พระคัมภีร์อาเวสตา (Avesta) ศาสนาโซโรแอสเตอร์มีลักษณะเป็นลัทธิทวินิยม
สานุศิษย์ของศาสนานี้เชื่อในอำนาจสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งดีฝ่ายหนึ่งชั่ว
พวกเขาเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งความดีเป็นเทพผู้สูงสุด ชื่อออร์มาซด์ (Ormazd) เทพองค์นี้มีพวกอัครเทวทูตและเทวทูตทั้งหลายเป็นบริวาร
และเชื่อว่ามีเทพแห่งความชั่วองค์หนึ่งชื่อ อาห์ริมาน (Ahriman) มีภูตผีปีศาจเป็นบริวาร ศาสนาโซโรแอสเตอร์สอนว่า
มนุษย์ควรจะปรนนิบัติรับใช้เทพแห่งความดี และทำตามประมวลกฎหมายอันสูงส่งซึ่งแสดงออกมาเป็นค่านิยมทางศีลธรรมแบบถ่อมตัว
ศิษยานุศิษย์ของศาสนานนี้มีความเชื่อมั่นว่า
ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดคนชอบธรรมจะได้รับชีวิตใหม่เมื่อตอนที่เทพออร์มาซด์ทำสงครามชนะ
🐴อารยธรรมของชาวเปอร์เซีย
อารยธรรมเปอร์เซีย
อยู่ในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตศักราช หลังจากที่อาณาจักรแอสสิเรียได้เสื่อมลง
ชาวเปอร์เซียซึ่งเป็นชนชาติอินโดยูโรเปียนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ
ได้สร้างอาณาจักรอยู่ทางตอนเหนือเทือกเขาตะวันออก
กษัตริย์ราชวงศ์อะเคเมเนียนของเปอร์เซียได้แผ่ขยายอำนาจเข้าปกครองดินแดน ต่างๆ
ด้วยความบ้าคลั่ง แต่ในยุคนี้ได้มีพัฒนาการที่ทันสมัยมากขึ้น
มีการผลิตเงินเหรียญขึ้นใช้
นอกจากนั้นยังได้มีการดัดแปลงตัวอักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรของเปอร์เซีย จัด
ระบบการปกครอง โดยแบ่งเป็นจังหวัด หรือมณฑล เรียกว่า แซแทรปปี (Satrapy) นอกจากในด้านเศรษฐกิจที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว
ชาวเปอร์เซียยังได้สร้างถนนใช้คมนาคมและถือว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดในยุค โบราณ
และนอกจากนั้นยังมีไปรษณีย์ติดต่อสื่อสารทางราชการอีกด้วย
สถาปัตยกรรม - สถาปัตยกรรมของชาวเปอร์เซียได้รับอิทธิพลมาจากอียิปต์ และกรีก
การก่อสร้างได้นำเอาวัสดุหลายชนิดมาใช้อย่างเหมาะสม เช่น ใช้หินเป็นพื้น
ผนังใช้อิฐและนำเอาเสาไม้มาใช้ตกแต่ง ทำโครงเพดาน
มีการตกแต่งหัวเสาและแกะเสาเป็นร่องคล้ายของกรีก
ประติมากรรม - งานประติมากรรมที่สำคัญของเปอร์เซีย คือ
การแกะสลักหัวเสาเป็นรูปสัตว์ต่างๆ มีความสวยงามและประณีตนอกจากนั้นยังรู้จักนำทองแดงและโลหะต่างๆ
มาประดับแต่งอย่างวิจิตรพิสดาร
ประติมากรรมที่นิยมคือแบบนูนต่ำโดยเฉพาะการแกะสลักฐานบันไดกำแพง
หรือฝาผนัง เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นภาพกษัตริย์ ขุนนาง
และข้าทาสบริพารหรือพิธีกรรมต่างๆ ผลงานที่โดดเด่นมักจะเป็นผลงานประเภทประณีตศิลป์
ซึ่งจะนำสัตว์มาดัดแปลงประยุกต์เป็นสิ่งของเครื่องใช้
จิตรกรรม - ผลงานด้านจิตรกรรมของเปอร์เซียมีไม่มากนัก
ส่วนมากจะเป็นการนำไปประยุกต์ ใช้กับการตกแต่งผนังภายในงานสถาปัตยกรรม
รูปแบบจะมีลักษณะคล้ายกับแอสสิเรีย ศิลปกรรมเปอร์เซียเริ่มเสื่อมลงเมื่อพวกมุสลิมหรืออาหรับเข้ามามีอำนาจ
ลักษณะงานศิลปะจึงได้เปลี่ยนแปลงไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น