อะมอไรต์
จักพรรดิฮัมมูราบีทรงเป็นนักปกครองและนักบริหารที่ยอดเยี่ยมได้ทรงคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดนทั่วทั้งจักวรรดิ เครื่องมือดังกล่าวนั้น คือกฏหมายที่เขียนเป็นลายลักอักษร วึ่งประมวลขึ้นจากจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียนเดิมตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเซมิติค เรียกว่า ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี (the Code of Hammurabi) มีข้อบัญญัติต่างๆ รวมทั้งสิ้นเกือบ 300 ข้อ จารึกอยู่บนแท่งหินสีดำสูงประมาณ 8 ฟุต จารึกด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์ม ประมวลกฏหมายนี้ใช้หลักความคิดแบบแก้แค้นและตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาที่เรียกว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” นอกจากนี้ยังว่าด้วยเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติต่อกันของคนในสังคม เช่น เรื่องการค้าขายและประกอบอาชีพ เรื่องทรัพย์สินที่ดิน เรื่องการกินอยู่ระหว่างสามีภรรยาและการหย่าร้าง เป็นต้น ประมวลกฏหมายฉบับนี้นับว่าเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในความพยายามที่จะจัดระเบียบภายในสังคมที่มีคนเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว นำระเบียบดังกล่าวเขียนลงไว้อย่างชัดเจน ประมวลกฏหมายฮัมมูราบีจึงเป็นประมวลกฏหมายที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเหลือตกค้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
ซึ่งต่อมาได้สถาปนาจักวรรดิบาบิโรเนียขึ้น โดยมีนครบาบิโลน (Babylon) เป็นศูนย์กลางของจักวรรดิ
จักพรรดิฮัมมูราบีทรงเป็นนักปกครองและนักบริหารที่ยอดเยี่ยมได้ทรงคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดนทั่วทั้งจักวรรดิ เครื่องมือดังกล่าวนั้น คือกฏหมายที่เขียนเป็นลายลักอักษร วึ่งประมวลขึ้นจากจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียนเดิมตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเซมิติค เรียกว่า ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี (the Code of Hammurabi) มีข้อบัญญัติต่างๆ รวมทั้งสิ้นเกือบ 300 ข้อ จารึกอยู่บนแท่งหินสีดำสูงประมาณ 8 ฟุต จารึกด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์ม ประมวลกฏหมายนี้ใช้หลักความคิดแบบแก้แค้นและตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาที่เรียกว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” นอกจากนี้ยังว่าด้วยเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติต่อกันของคนในสังคม เช่น เรื่องการค้าขายและประกอบอาชีพ เรื่องทรัพย์สินที่ดิน เรื่องการกินอยู่ระหว่างสามีภรรยาและการหย่าร้าง เป็นต้น ประมวลกฏหมายฉบับนี้นับว่าเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในความพยายามที่จะจัดระเบียบภายในสังคมที่มีคนเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว นำระเบียบดังกล่าวเขียนลงไว้อย่างชัดเจน ประมวลกฏหมายฮัมมูราบีจึงเป็นประมวลกฏหมายที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเหลือตกค้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
ซึ่งต่อมาได้สถาปนาจักวรรดิบาบิโรเนียขึ้น โดยมีนครบาบิโลน (Babylon) เป็นศูนย์กลางของจักวรรดิ
จักพรรดิฮัมมูราบีทรงเป็นนักปกครองและนักบริหารที่ยอดเยี่ยมได้ทรงคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดนทั่วทั้งจักวรรดิ เครื่องมือดังกล่าวนั้น คือกฏหมายที่เขียนเป็นลายลักอักษร วึ่งประมวลขึ้นจากจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียนเดิมตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเซมิติค เรียกว่า ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี (the Code of Hammurabi) มีข้อบัญญัติต่างๆ รวมทั้งสิ้นเกือบ 300 ข้อ จารึกอยู่บนแท่งหินสีดำสูงประมาณ 8 ฟุต จารึกด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์ม ประมวลกฏหมายนี้ใช้หลักความคิดแบบแก้แค้นและตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาที่เรียกว่า “ตาต่อตาฟันต่อฟัน” นอกจากนี้ยังว่าด้วยเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติต่อกันของคนในสังคม เช่น เรื่องการค้าขายและประกอบอาชีพ เรื่องทรัพย์สินที่ดิน เรื่องการกินอยู่ระหว่างสามีภรรยาและการหย่าร้าง เป็นต้น ประมวลกฏหมายฉบับนี้นับว่าเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในความพยายามที่จะจัดระเบียบภายในสังคมที่มีคนเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว นำระเบียบดังกล่าวเขียนลงไว้อย่างชัดเจน ประมวลกฏหมายฮัมมูราบีจึงเป็นประมวลกฏหมายที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเหลือตกค้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
พระเจ้าฮัมมูราบี
💬ประมวลกฎหมายของฮัมมูราบี
การร่างประมวลกฎหมาย (Hammurabi Code) พระเจ้าฮัมมูราบีทรงเป็นที่รู้จักในฐานะเป็น
ผู้สร้างประมวลกฎหมายเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรมแห่งชีวิต ทรงกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดทำประมวลกฎหมายว่า
“เพื่อผดุงความยุติธรรมให้คงอยู่ในแผ่นดิน ทำลายคนชั่วและคนร้าย
ป้องกันคนแข็งแรงข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า...และเพื่อพัฒนาสวัสดิการสำหรับประชาชน”
ประมวลกฎหมายนี้จารึกอยู่บนแผ่นดินไดโดไรท์สีดำ
ขนาดสูง 8 ฟุต จารึกด้วยอักษร Cuniform ประมวลกฎหมายนี้ประดิษฐ์ไว้ในวิหารของเทพมาร์คุด
(marduk) ซึ่งเป็นเทพสูงสุดของบาบิโลน ต่อมาทีมนักโบราณคดีฝรั่งเศสขุดพบที่
ประเทศอิรัก ในช่วงฤดูหนาวปี 1901 ถึง 1902 หินสลักนี้แตกเป็น 3 ชิ้น
และได้รับการบูรณะ ตอนบนของแผ่นหินมีรูปแกะสลักภาพเทพเจ้ากำลังประทาน
ประมวลกฎหมายให้แก่ ฮัมมูราบี ปัจจุบัน
ประมวลกฎหมายฮัมมูราบีอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ กรุงปารีส
แผ่นหินนี้นับเป็นโบราณวัตถุที่มีค่ายิ่งในทางประวัติศาสตร์
เพราะข้อความในประมวลกฎหมายสะท้อนให้เห็นถึงสภาพของสังคมBabylonia ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี ทำให้เราทราบว่า Babylonia ประกอบขึ้นด้วยคนชั้นต่างๆ คือ กรรมกรและทาส
💬กฎหมายของฮัมมูราบี
1.คล้ายกฎหมายของพวกสุเมเรียน
คือ อาศัยหลัก Lex
talionis คือ ใช้ลัทธิสนองตอบ คือ
“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” (An eye for an eye , a tooth for a tooth)
2.มีความเปลี่ยนแปลงไปจากกฎหมายของพวกสุเมเรียน
คือ การให้ความยุติธรรมนั้นต้องเป็นหน้าที่ของรัฐ
(การให้ความยุติธรรมในสมัยแรกเริ่มนั้นเป็นหน้าที่ของบุคคล)
3.ให้สิทธิแก่สตรี
สตรีมีสิทธิฟ้องสามีได้
4.การค้าขายจะต้องได้พระบรมราชานุญาต
จำกัดกำไรให้เพียง 20%
5.กำหนดเวลาการตกเป็นทาสหนี้สินเพียง
3 ปี
ทั้งนี้เป็นเพราะนอกจากจะทรงสามารถในการรบและการปกครองเป็นผลให้
จักรวรรดิขยายกว้างใหญ่ไพศาล ฮัมมูราบีปรับปรุงอารยธรรมสุเมเรียนให้ดีขึ้น
และในที่สุดจักรวรรดิ
บาบิโลนก็ได้เริ่มเสื่อมลงเป็นลำดับภายหลังการสิ้นพระชนม์ของฮัมมูราบีเพราะ
1.กษัตริย์ผู้สืบทอดต่อมาไร้ความสามารถในการปกครองและการรบ
เป็นผลให้กลุ่มชนภายใต้ การปกครองของอะมอไรท์ดำเนินการแยกตนเป็นอิสระ
2.ประมาณปี 1590
ก่อนคริสตกาล ฮิตไตท์ชนชาตินักรบจากเอเซียไมเนอร์ เข้ารุกรานมุ่งยึด
กรุงบาบิโลนแต่ไม่สำเร็จ
3.การก่อกวนของเฮอเรีย (Hurrians) แห่งอาณาจักรมิทานมิ (Mitanni) อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ ทางตอนเหนือของลุ่มแม่น้ำยูเฟรตีส
4.งบประมาณปลายศตวรรษที่ 16
ก่อนคริตกาล คัสไซส์ (Kassites) อนารยชนจากเทือกเขา
ใกล้ดินแดนเปอร์เซียตะวันตกเข้ารุกรานและโค่นอำนาจอะมอไรท์ได้สำเร็จ
จักวรรดิบาบิโลเนียนได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยจักวรรดิฮัมมูราบี แต่หลังสมัยของพระองค์อาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นอยู่เป็นเวลาเกือบหกร้อยปีค่อยๆเสื่อมลงจนในที่สุดถูกพวกชาวแคสไซต์ (Kassites) เข้ามายึดครอง ชาวแคสไซต์เป็นพวกอารยชนซึ่งไม่มีความสนใจในวัฒธรรมใดๆทั้งสิ้น วัฒนธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้เกือบจะต้องสลายไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีชนเผ่าเซมิติคอีกพวกหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณภาคเหนือบนลุ่มแม่น้ำไทกริส และชนกลุ่มนี้ได้มีการขยายอิทธิพลเรื่อยๆ จนสามารถพิชิตพวกแคสไซต์ได้ ชนเผ่าเซมิติคดังกล่าวนี้คือชาวอัสซีเรียน
จักวรรดิบาบิโลเนียนได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยจักวรรดิฮัมมูราบี แต่หลังสมัยของพระองค์อาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นอยู่เป็นเวลาเกือบหกร้อยปีค่อยๆเสื่อมลงจนในที่สุดถูกพวกชาวแคสไซต์ (Kassites) เข้ามายึดครอง ชาวแคสไซต์เป็นพวกอารยชนซึ่งไม่มีความสนใจในวัฒธรรมใดๆทั้งสิ้น วัฒนธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้เกือบจะต้องสลายไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีชนเผ่าเซมิติคอีกพวกหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณภาคเหนือบนลุ่มแม่น้ำไทกริส และชนกลุ่มนี้ได้มีการขยายอิทธิพลเรื่อยๆ จนสามารถพิชิตพวกแคสไซต์ได้ ชนเผ่าเซมิติคดังกล่าวนี้คือชาวอัสซีเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น